โปรตุเกสข่มคู่แข่ง เจอจุดอ่อนฝรั่งเศส ชอบปล่อยพื้นที่ว่างทางริมเส้น วางแผนเปิดเกมรุกเจาะทางริมเส้น ?คอสตินย่า?ได้ใบสั่งให้ล็อคแข้ง?ซีดาน? **โปรตุเกสได้?เดโก้?เจาะจุดอ่อนฝรั่งเศส ฝรั่งเศสภายใต้การนำทัพของซีเนอดีน ซีดาน เพลย์เมกเกอร์คนสำคัญ หวังสร้างประวัติศาสตร์ก้าวขึ้นครองแชมป์ฟุตบอลโลกหนที่ 2 ในรอบ 8 ปี จะลงสนามหวดกับโปรตุเกส ที่ตั้งความหวังกับการได้เล่นนัดชิงชนะเลิศหนแรก ในรอบรองชนะเลิศ ที่อัลลิอันซ์ สเตเดียม เมืองมิวนิก เยอรมนี วันที่ 5 กรกฎาคม โปรตุเกสต้อนรับการกลับมาของคอสตินญ่า กับเดโก้ 2 ผู้เล่นมิดฟิลด์ที่ถูกแบนในนัดเตะกับอังกฤษ ทำให้ติอาโก้ เมนเดส กับอาร์มันโด้ เปอตีต์ ที่ถูกแบน 1 นัดพอดี ต้องกลับไปนั่งเป็นตัวสำรองอีกครั้ง นั่นหมายความว่าหลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ โค้ชโปรตุเกสชาวบราซิล จะกลับมาเล่นระบบ 4-5-1 อันเป็นระบบที่โปรตุเกสคุ้นเคยกันดี มิเกล มอนเตโร่ กองหลังตัวสำคัญของโปรตุเกส กล่าวถึงการแข่งขันรอบตัดเชือกว่า จุดอ่อนของฝรั่งเศสน่าอยู่ที่พื้นที่ด้านข้าง โปรตุเกสมีโอกาสที่จะลากบอลเปิดเกมทางริมเส้นเป็นหลัก ฮูโก้ วิอาน่า มิดฟิลด์สำรองทีมโปรตุเกส กล่าวว่า พวกเรามั่นใจมานานแล้วก่อนเตะกับอังกฤษด้วยซ้ำว่าจะเข้าสู่รอบลึกได้ แต่โปรตุเกสก็รู้มาว่าฝรั่งเศสอยากจะครองแชมป์โลกครั้งนี้เช่นกัน เพราะฉะนั้นการมาเจอกันน่าจะเป็นเกมที่ตื่นเต้น **ตราไก่วางซีดานคุมเกม-?อองรี?หอก สำหรับฝรั่งเศสยังคงผู้เล่นชุดเดิมไว้ทั้งหมด เรย์มองด์ โดเมอเนช โค้ชชาวฝรั่งเศสพึงพอใจกับฟอร์มเตะของฝรั่งเศสในนัดชนะสเปน และบราซิล คาดว่าจะใช้ผู้เล่นชุดเดิมที่มีซีดานเป็นจอมทัพ ฟร้องก์ ริเบอรี่ เป็นตัวเปิดบอล และเธียร์รี่ อองรี เข้าทำประตู ยิ่งชัยชนะที่มีต่อบราซิล ทำให้ทีมมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าถึงโอกาสที่จะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เพราะถ้าชนะแชมป์โลก 5 สมัยมาได้ด้วยฟอร์มสุดยอดก็คงยากที่ทีมอื่นจะมาหยุดยั้งฝรั่งเศสได้ และระบบการเล่นของฝรั่งเศสก็ไม่แตกต่างจากโปรตุเกส เล่นในระบบ 4-5-1 ใช้อองรียืนกองหน้าคนเดียว คาดกันว่า โปรตุเกสจะมอบหมายงานหนักให้กับคอสตินญ่าในการไล่บี้ซีดานมิให้มีพื้นที่ได้เล่นบอลมากมายเหมือนนัดเจอบราซิล และให้คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เปิดเกมรุกทางปีก ฟร้องก์ ริเบอรี่ มิดฟิลด์ทีมฝรั่งเศส กล่าวว่า นี่คือเกมเตะรอบรองชนะเลิศ ความกดดันย่อมมีสูงทีเดียว โปรตุเกสก็อยากจะเข้ารอบชิงชนะเลิศเช่นกัน เกมรับของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าบราซิล และมีนักเตะเกมรุกชั้นเยี่ยมอย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้, เปาเลต้า และที่รู้จักกันดีคือ หลุยส์ ฟิโก้ ลิลิยอง ตูราม กองหลังฝรั่งเศส กล่าวด้วยว่า หลังจากทีมชนะบราซิลไปแล้ว ทำให้ใครต่อใครคิดว่ายังไงก็น่าจะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ แต่อาจจะไม่ใช่ก็ได้ หากฝรั่งเศสลดความแข็งแกร่งลงไป รูปเกมที่คิดไว้ก็จะเปลี่ยนแปลงไป **สถิติฝรั่งเศสเหนือกว่าโปรตุเกส ส่วนกรรมการตัดสินนัดนี้ คือ จอร์จ ลาร์ริออนด้า กรรมการชาวอุรุกวัย และวอลเตอร์ ริอัล กับพาโบล ฟานดิโอโน่ 2 ผู้กำกับเส้นจากชาติเดียวกันทั้งหมด ทีม ?เปา? ชุดนี้เคยทำหน้าที่มา 2 นัด ในรอบแบ่งกลุ่มระหว่างอิตาลีกับสหรัฐอเมริกา โดยลาร์ริออนด้าไล่นักเตะออกถึง 3 คน และยังตัดสินในเกมที่ฝรั่งเศสชนะโตโก 2-0 โปรตุเกสกับฝรั่งเศสเคยปะทะกันมา 21 นัด ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายชนะ 15 นัด และโปรตุเกสชนะ 5 นัด แต่เคยพบกันในเกมเตะนัดสำคัญเพียง 2 ครั้ง ในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูโร ปี 1984 ฝรั่งเศสชนะ 3-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ มิเชล พลาตินี่ เป็นผู้ยิงประตูชัยให้ทีมฝรั่งเศสในนาที 119 และพบกันอีกครั้งในยูโรปี 2000 ฝรั่งเศสชนะ 2-1 ซีดานยิงประตูโกลเด้นโกล์ในนาที 117 ซึ่งฝรั่งเศสเป็นผู้ชนะเลิศทั้ง 2 ครั้งดังกล่าว สำหรับทีมโปรตุเกสชุดยูโร 2000 ที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน คือ คอสตินญ่า, ฟิโก้ และนูโน่ โกเมส และในครั้งนั้น โกเมสถูกแบนนานถึง 7 เดือนหลังมีส่วนเข้าไปทะเลาะหลังจบเกมแข่งขัน ขณะที่ฝรั่งเศสมีนักเตะที่ยังคงเล่นอยู่ในชุดนี้ถึง 7 คน ประกอบด้วย ฟาเบียง บาร์เตซ, ตูราม, ปาทริก วิเอร่า, ซีดาน, ซิลแว็ง วิลตอร์, อองรี และดาวิด เตรเซเก้ต์ โปรตุเกสเคยผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกรวมทั้งครั้งนี้เป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1966 หรือ 40 ปีที่แล้ว ทีมอังกฤษเป็นฝ่ายเขี่ยโปรตุเกสตกรอบ ก่อนที่ยูเซบิโอ จอมทัพของโปรตุเกสในชุดนั้นนำทีมคว้าอันดับสามในเวลาต่อมา ผลงานของโปรตุเกสในปัจจุบันไม่เคยแพ้ใคร 17 นัดติดต่อกัน หนล่าสุดที่ทีมแพ้คือนัดชิงชนะเลิศยูโร 2004 พ่ายกรีซ 0-1 ทางด้านฝรั่งเศสเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายหนที่ 12 และฟอร์มดีที่สุดเกิดขึ้นในปี 1998 ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพคว้าแชมป์โลกมาครองสมัยแรก และการเจอกับโปรตุเกสเป็นเกมเตะฟุตบอลโลกนัดที่ 50 ของฝรั่งเศส **11นักเตะสองทีมต้องระวัง?ใบเหลือง? การเล่นแมตช์นี้ นักเตะโปรตุเกสที่ได้ใบเหลืองไปแล้ว 1 ใบก่อนหน้านี้ต้องระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากเจออีกใบจะหมดสิทธิลงสนามในนัดชิงชนะเลิศทันที หากทีมได้เข้าชิง ประกอบด้วย มานิเช่, นูโน่ วาเลนเต้, ริคาร์โด้ คาวาลโญ่, ริคาร์โด้ และ ฟิโก้ ขณะที่ฝรั่งเศสมีนักเตะติด 1 ใบเหลืองไปแล้ว ประกอบด้วย ริเบอรี่, วิเอร่า, ซีดาน, หลุยส์ ซาฮา, วิลลี่ ซาญอล และตูราม ในส่วนของผู้เล่นทั้ง 2 ทีมที่สังกัดสโมสรเดียวกันจะต้องมาเจอกันในฐานะคู่แข่งขัน ได้แก่ วิลเลี่ยม กัลลาส กับโคล้ด มาเกเลเล่ อาจเจอเพื่อนร่วมทีมเชลซีด้วยกัน ได้แก่ เปาโล เฟร์ไรร่า, คาวาลโญ่ และมานิเช่ ส่วน คริสเตียน โรนัลโด้ ของโปรตุเกสอาจเจอกับมิกาเอล ซิลแวสต์ และซาฮา เป็นต้น รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม โปรตุเกส (4-5-1) ริคาร์โด้ เปไรร่า, มิเกล มอนเตโร่, ริคาร์โด้ คาวาลโญ่, เฟร์นานโด ไมร่า, นูโน่ วาเลนเต้, คอสตินญ่า, มานิเช่, เดโก้, หลุยส์ ฟิโก้, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เปาเลต้า ฝรั่งเศส (4-5-1) ฟาเบียง บาร์เตซ, วิลลี่ ซาญอล, ลิลิยอง ตูราม, วิลเลี่ยมส์ กัลลาส, เอริก อาบิดาล, ปาทริก วิเอร่า, โคล้ด มาเกเลเล่, ฟร้องก์ ริเบอรี่, ซีเนอดีน ซีดาน, ฟลอร็องต์ มาลูด้า, เธียร์รี่ อองรี **ทีวี 6 ช่องถ่ายทอดสดโปรตุเกส-ฝรั่งเศส สถานีโทรทัศน์ช่อง 3, 5, 7, 9, 11 และไอทีวี พร้อมใจกันถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 รอบรองชนะเลิศระหว่าง โปรตุเกส-ฝรั่งเศส ในเวลาตีสองของคืนวันที่ 5 กรกฎาคมนี้ **บราซิลถึงบ้าน-กุนซือหลบหน้าแฟนบอล ทีมบราซิล แชมป์โลก 5 สมัยถูกฝรั่งเศสเขี่ยตกรอบก่อนรองชนะเลิศได้เดินทางถึงสนามบินเมืองริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มแฟนบอลมารอรับจำนวนไม่มาก แต่คาร์ลอส อัลเบร์โต้ ปาร์ไรร่า โค้ชทีมบราซิลไม่ต้องการปะทะกับเสียงโห่และกลุ่มผู้สื่อข่าว เลยเดินถอยฉากออกประตูหลังของสนามบินออกไป รายงานข่าวเผยว่า กิลเบร์โต้ ซิลวา เป็นผู้เล่นบราซิลคนเดียวที่ได้เสียงปรบมือและเสียงเชียร์จากแฟนบอลที่สนามบิน โดยได้พูดคุยกับแฟนบอลและตอบคำถามสื่อมวลชน ในเวลาต่อมา ปาร์ไรร่าเปิดเปิดแถลงข่าวที่สหพันธ์ฟุตบอลบราซิลกล่าวแสดงความเสียใจที่ทีมแพ้ตกรอบ ทำให้ประชาชนชาวบราซิลผิดหวังอย่างรุนแรง ?คงไม่มีใครที่อยากจะเป็นแชมป์มากไปกว่าผมแน่? ปาร์ไรร่ากล่าว ส่วนอนาคตของปาร์ไรร่าจะได้คุมทีมบราซิลต่อไปหรือไม่นั้น จะต้องรอเจรจากับริคาร์โด้ ไทเซร่า ประธานสหพันธ์ฟุตบอลบราซิล และนักข่าวได้ถามด้วยว่า ตำแหน่งแบ๊คซ้ายของโรเบร์โต้ คาร์ลอส กลายเป็นหลุมดำของทีมหรือไม่ หลังจากปล่อยให้เธียร์รี่ อองรี นักเตะฝรั่งเศสวิ่งเข้ายิงโดยไม่มีใครประกบ ?ทีมบราซิลคงไม่มองหาแพะรับบาปแน่ เอาเป็นว่า บราซิลแพ้และฝรั่งเศสชนะ และถ้าในแต่ละเกมไม่มีใครเล่นผิดพลาดเลย แถมยังเล่นกันได้ดีหมดทุกคน เกมก็คงจะเสมอ 0-0 เพียงอย่างเดียว? ปาร์ไรร่ากล่าว **ลุกซอมบูร์โก้มีลุ้นลมหวนคุมทีม รายงานจากบราซิลเผยว่า โอกาสที่วันแดร์เล่ ลุกซอมบูร์โก้ อดีตโค้ชทีมชาติบราซิลช่วงระหว่างปี 1998-2000 จะกลับเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้อีกครั้ง โดยรอดูสถานการณ์หลังจากนี้เป็นต้นไปว่า คาร์ลอส อัลเบร์โต้ ปาร์ไรร่า จะลาออกหรือถูกไล่ออก แต่ทางสโมสรซานโตสพยายามจะตีกันมิยอมให้ลุกซอมบูร์โก้ไปรับงานใหม่แน่ หวังจะให้ทำงานคุมทีมจนจบครบสัญญาที่เหลืออีก 18 เดือน ลุกซอมบูร์โก้เคยทำงานคุมทีมรีล มาดริดเมื่อปีที่แล้ว แต่ทำได้เพียง 11 เดือนเท่านั้นก็ถูกไล่ออก และผลงานของลุกซอมบูร์โก้ในทีมซานโตสคือการพาทีมชนะเลิศชิงแชมป์แห่งชาติบราซิลในปี 2004 ขณะที่ผลงานคุมทีมบราซิลในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ได้สร้างผลงานเป็นที่น่าพอใจ ถูกเขี่ยตกรอบโดยแคเมอรูนที่เหลือ 9 คนในฟุตบอลโอลิมปิคเกมส์ปี 2000 สำหรับกุนซือแคนดิเดตรายอื่นที่มีโอกาสลุ้นเป็นโค้ชทีมชาติบราซิล ได้แก่ หลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กับ เปาโล ออตูโอริ โดยรายแรกเคยนำทีมชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 2002 และล่าสุดกำลังนำทีมโปรตุเกสลุ้นเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปีนี้ ส่วนออตูโอรินำทีมเซาเปาโลชนะเลิศเวิร์ลด์คลับแชมเปี้ยนชิพปีก่อน และยังเคยเป็นโค้ชเปรูมาก่อน **คาร์ลอสแขวนสตั๊ดทีมชาติบราซิล โรเบร์โต้ คาร์ลอส แบ๊กซ้ายจอมบุกวัย 33 ได้ประกาศอำลาทีมชาติบราซิล เพื่อเปิดโอกาสให้นักเตะสายเลือดใหม่ของบราซิลได้ขึ้นมาเล่นตำแหน่งนี้กันบ้าง คาร์ลอสรับใช้ทีมชาติมานานถึง 10 ปี ติดทีมชาติมากมายถึง 128 นัด และประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกปี 2002 **โค้ชคอสตาริกาเจอเสียงขู่ทำร้าย ขณะที่อเล็กซานเดอร์ กิมาเรส โค้ชชาวแซมบ้าของทีมคอสตาริกาในทวีปอเมริกากลางที่นำทีมประสบความล้มเหลวตกรอบแรกในฟุตบอลโลก 2006 ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังได้รับเสียงขู่ทำร้ายทางโทรศัพท์ที่บ้าน กิมาเรสมีสัญญาณว่าจ้างจนถึงปี 2010 ขอยุติการทำหน้าที่โค้ชทีมชาติ เพราะรับไม่ได้ที่มีเสียงขู่ลึกลับโทรศัพท์เข้ามาขู่ทำร้ายตัวเขาและครอบครัว ?สัญญาณอันตรายเกิดขึ้นตั้งแต่วันเดินทางกับถึงสนามบิน หากไม่มีตำรวจคอยคุ้มกัน ไม่แน่ใจว่าผมจะมีโอกาสได้มานั่งพูดแถลงข่าววันนี้หรือไม่? กิมาเรสกล่าว คอสตาริกาลงเล่นรอบแบ่งกลุ่มแพ้เยอรมนี 2-4, แพ้เอกวาดอร์ 0-3 และแพ้โปแลนด์ 1-2 ?ผมไม่ต้องการแอ่นอกรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวและใช้บอดี้การ์ดคอยคุ้มกันแน่? กิมาเรสกล่าวอีกว่า ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว อยากให้แฟนบอลคอสตาริการับทราบความจริงว่า ทีมคอสตาติกามิได้อยู่ในระดับเดียวกับทีมที่แพ้ด้วย รวมทั้งในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดที่ทีมควรได้รับ **กองเชียร์เยอรมันนับล้านลุ้นทีมเข้ารอบ แฟนบอลเยอรมันนับล้านพากันออกมาเชียร์ทีมชาติตัวเองเตะกับอิตาลีในฟุตบอลโลก 2006 รอบรองชนะเลิศ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยต่างพร้อมใจกันรวมตัวกันเชียร์ตามจอยักษ์ในพื้นที่ต่างๆ อาทิ ที่เมืองดอร์ตมุนด์ สังเวียนฟาดแข้งของคู่เยอรมนี-อิตาลี มีแฟนบอลประมาณ 2 แสนคนต่างอัดแน่นพร้อมใจกันส่งเสียงเชียร์ โดยมีชุมชนชาวอิตาเลียนอีกนับหมื่นพากันลุ้นทีมอิตาลี ส่วนที่เมืองเบอร์ลิน แฟนบอลอย่างน้อย 1 ล้านคนขึ้นไปได้มารวมตัวกันที่แฟนไมล์ ด้านหลังแบรนเดนเบิร์ก เกต เพื่อชมการแข่งขันผ่านจอยักษ์ และจะต้องเดินทางเข้า ณ จุดชมก่อนการแข่งขันหลายชั่วโมงท่ามกลางสภาพอากาศร้อนที่วัดอุณหภูมิในช่วงเวลาเที่ยงได้ 30 องศาเซลเซียส **ประธานฟีฟ่าเสียใจด่า?เปา?รัสเซียแรงเกิน เซ็ปป์ แบลตเตอร์ ประธานฟีฟ่าออกมากล่าวแสดงความรับผิดชอบที่ใช้คำพูดวิจารณ์วาเลนติน อิวานอฟ กรรมการชาวรัสเซียแรงเกินไป หลังจากที่อิวานอฟตัดสินการเล่นของคู่เตะระหว่างโปรตุเกสกับเนเธอร์แลนด์ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายจบลงไปพร้อมกับไล่แจกใบเหลือง 16 ใบ และใบแดงอีก 4 ใบในเกมเตะที่เมืองเนิร์นแบร์ก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา ?ผมอยากจะบอกว่า เสียใจกับสิ่งที่พูดออกไปในแมตช์เตะนี้? แบลตเตอร์กล่าว สำหรับแบลตเตอร์ได้ให้สัมภาษณ์ทีวีโปรตุเกสหลังเกมจบดังกล่าวว่า อิวานอฟสมควรได้ใบเหลืองเพราะตัดสินเกมนี้ได้แย่มาก และมาร์โก้ ฟาน บาสเท่น โค้ชทีมดัตช์พร้อมกับนักเตะอีกหลายคนแสดงความคิดเห็นต่อว่าอิวานอฟกันอย่างหนักหน่วง โดยหลังจบเกมดังกล่าวไป 3 วัน คณะกรรมการผู้ตัดสินของฟีฟ่าได้ตัดชื่ออิวานอฟออกจากการทำหน้าที่ในรอบต่อมา **สหรัฐจ้างคลิ้นส์มันน์ปีละ 105 ล.ทำทีม หนังสือพิมพ์เดลี่ เทเลกราฟของอังกฤษฉบับวันที่ 4 กรกฎาคม ได้รายงานข่าวว่า สหพันธ์ฟุตบอลแห่งสหรัฐอเมริกาได้พยายามทาบทามเจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ โค้ชทีมชาติเยอรมนีให้มาทำทีมชาติสหรัฐอเมริกาโดยมีเป้าหมายหลักคือทีมผ่านเข้ารอบสุดท้ายสุดท้ายในฟุตบอลโลก ปี 2000 ที่แอฟริกาใต้ แม้ว่าคลิ้นส์มันน์จะปฏิเสธข่าวลือนี้ แต่เดลี่ เทเลกราฟอ้างว่า การติดต่อกันในเบื้องต้นได้เริ่มขึ้นแล้ว คลิ้นส์มันน์ซึ่งปักหลักลงฐานพร้อมครอบครัวที่รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยภรรยาเป็นชาวอเมริกัน ได้รับข้อเสนอให้ทำงานปีละ 1.5 ล้านปอนด์ หรือ 105 ล้านบาท เท่ากับที่ทางเยอรมนีจ่ายให้ในปัจจุบัน แต่มากกว่าที่บรูซ อารีน่า โค้ชชาวอเมริกันได้รับถึง 3 เท่าตัว **ครึ่งแรกเยอรมนียังเสมออิตาลี0-0 การแข่งขันรอบรองชนะเลิศ คู่แรก ที่เมืองดอร์ตมุนด์ เยอรมนี ระหว่าง?เจ้าภาพ?เยอรมนี พบ อิตาลี ทั้ง 2 ทีมเคยครองแชมป์โลกทีมละ 3 สมัย สถิติเจอกันนัดหลังสุดเกมอุ่นเครื่องที่อิตาลี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาปรากฏว่า อิตาลี ชนะ เยอรมนี 4-1 ?อินหรีเหล็ก?เยอรมนีขาดมิดฟิลด์ตัวหลักอย่าง ทอร์สเท่น ฟริงก์ส ที่ถูกสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า แบนกรณีเหตุการณ์ชุลมุนหลังเกมเขี่ยอาร์เจนตินาร่วงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนทำให้ เซบาสเตียน เคห์ล ได้รับโอกาสลงสนาม เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ กุนซือเยอรมนี จัดทัพผู้เล่นระบบ 4-4-2 ประกอบด้วย เยนส์ เลห์มันน์,อาร์เน่ ฟรีดริช,เพอร์ แมร์เตชักเกอร์,คริสตอฟ เมตเซลเดอร์,ฟิลิปป์ ลาห์ม,แบร์นด์ ชไนเดอร์,เซบาสเตียน เคห์ล,มิชาเอล บัลลัก,ทิม โบรอฟสกี้,มิโรสลาฟ โคลเซ่,ลูคัส โพโดลสกี้ มาร์เซลโล่ ลิปปี้ กุนซืออิตาลี จัดทัพระบบ 4-5-1 ประกอบด้วย จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน,จิอันลูก้า ซัมบรอตต้า,ฟาบีโอ คันนาวาโร่,มาร์โก้ มาร์เตรัซซี่,ฟาบีโอ กรอสโซ่,เมาโร คาโมราเนซี่,อันเดร เปียร์โล่,เจนนาโร่ กัตตูโซ่,ซีโมเน่ แปร์รอตต้า,ฟรานเชสโก้ ต็อตติ,ลูก้า โทนี่ เปิดฉากขึ้นมานักเตะทั้งสองทีมเปิดเกมเร็วเข้าแลกกันทันทีแต่ยังไม่มีจังหวะลุ้นประตูเนื่องจากแดนกลางเพรสซิ่งเร็วทำให้การต่อบอลขาดความแน่นอน นาที 3 ต็อตติได้ลองยิงฟรีคิกทดสอบเจ้าถิ่นก่อนแต่เลห์มันน์รับไว้สบาย นาที 16 อิตาลีเกือบได้ประตูขึ้นนำจากการบรรจงเปิดบอลของต็อตติให้แปร์รอตต้าหลุดเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษแต่จังหวะสุดท้ายแตะบอลยาวไปจึงหมดโอกาสยิง ทางฝั่งเยอรมนีเปิดเกมแลกกับอิตาลีได้งามๆ หลายจังหวะแต่แผงหลังอิตาลียังเล่นกันอย่างเหนียวแน่น ผ่าน 20 นาทีแรกอิตาลีครองบอลบุกได้น่ากลัวกว่าและมีโอกาสลุ้นทำประตูขึ้นนำหลายจังหวะ นาที 34 เยอรมนีได้ลุ้นยิงระตูเป็นครั้งแรกจากจังหวะที่โคลเซ่ไหลบอลให้ชไนเดอร์สักไกด้วยเท้าขวาบอลพุ่งเฉียดคานแบบได้ลุ้น นาที 40 ทิม โบรอฟสกี้ มิดฟิลด์อินทรีเหล็กรับใบเหลืองแรกของเกมจากการเข้าสกัดต็อตติ ท้ายครึ่งแรกเยอรมนีเริ่มต่อบอลสู้กับอิตาลีได้แต่เกมรับอิตาลีไม่พลาด **?เยอรมนี-อิตาลี?ต้องดวลต่อเวลา นาที 49 โคลเซ่ กองหน้าทีมชาติเยอรมนีโชว์ทักษะลากบอลหลบกองหลังอิตาลีเข้าไปในเขตโทษแต่โดนบุฟฟ่อน ผู้รักษาประตูอิตาลีล้มตัวตัดบอลไว้ได้ก่อน นาที 54 ทิม โบรอฟสกี้ มิดฟิลด์เยอรมนีสับไกนอกกรอบเขตโทษแต่บอลเหินข้ามคานออกไปแบบหมดลุ้น นาที 55 เมตเซลเดอร์ ปราการหลังเยอรมนีโดนใบเหลืองเป็นคนที่ 2 ของเกม นาที 62 ชไนเดอร์ มิดฟิลด์เยอรมนีจ่ายบอลตามช่องให้โพโดลสกี้พลิกบอลก่อนสับไกด้วยเท้าซ้ายเต็มข้อแต่โดนบุฟฟ่อนปัดออกไป นักเตะเจ้าภาพเริ่มครองเกมได้และเปิดเกมรุกเข้าใส่อิตาลีโดยเน้นการต่อบอลเร็วในแดนหน้า นาที 72 เยอรมนีปรับแท็กติกส่งบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ลงแทนทิม โบรอฟสกี้ นาที 73 อิตาลีต้องปรับเปลี่ยนแท็กติกเช่นกันถอดลูก้า โทนี่ ออกแล้วส่งอัลแบร์โต้ กิลาดิโน่ ลงเล่นแทน นาที 78 อันเดร เปียร์โล่ ลองยิงไกลแต่เลห์มันน์ เซฟไว้ง่ายดาย ช่วงท้ายการแข่งขันทั้งสองทีมเน้นความแน่นอน นาที 82 บัลลักได้ยิงฟรีคิกระยะ 22 หลากลางประตูอิตาลีแต่แต่ซัดข้ามคานแบบไม่มีลุ้น คลิ้นส์มันน์ตัดสินใจส่งเดวิด โอดอนคอร์ ลงสนามแทน แบร์นด์ ชไนเดอร์ นาที 84 อิตาลีปล่อยโอกาสทองหลุดลอยไปเมื่อต็อตติกระดกบอลข้ามแผงหลังเยอรมนีให้แปร์รอตต้าหลุดเดี่ยวแต่แปร์รอตต้าไม่ยอมจับบอลจังหวะแรกทำให้เลห์มันน์ออกมาชกบอลออกไปได้อย่างฉิวเฉียด นาที 90 คาโมราเนซี่ โดนใบเหลืองเป็นคนแรกของอิตาลี จบเกมเสมอกันในเวลา 90 นาที 0-0 ต้องเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ **อิตาลีสอยเจ้าภาพร่วง2-0 ช่วงต่อเวลาพิเศษอิตาลีถอดคาโมราเนซี่ออกแล้วส่งวินเซนโซ่ ยาควินต้า ลงสนาม เพียงแค่นาทีแรกกิลาดิโน่ ตัวสำรองอิตาลีลากบอลถึงเส้นหลังก่อนล็อคหลบบัลลักและตวัดยิงด้วยเท้าซ้ายเสาแรกแต่บอลไปชนโคนเสาไหลผ่านหน้าปากประตู คล้อยหลังอีกนาทีเดียว ซัมบรอตต้าได้ซัดในกรอบเขตโทษบอลพุ่งชนคานอย่างน่าเสียดาย นาที 104 ลิปปี้ กุนซืออิตาลีตัดสินใจส่ง อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ลงสนามแทนแปร์รอตต้า นาที 105 โพโดลสกี้สลัดแนวรับเยอรมนีวิ่งเข้าโหม่งโล่งๆ หน้าประตูแต่ดันโหม่งออกไปอย่างเหลือเชื่อ นาที 111 คลิ้นส์มันน์ถอดโคลเซ่ออกแล้วส่งโอลิเวอร์ นอยวิลล์ ลงสนาม นาที 112 โพโดลสกี้ซัดด้วยขวาบุฟฟ่อนต้องออกแรงเซฟ นาที นาที 119 อิตาลีได้เฮเมื่ออันเดร เปียร์โล่ ได้บอลในเขตโทษก่อนจะไหลบอลทะลุช่องให้ฟาบีโอ กรอสโซ่ ปั่นโค้งเข้าประตูให้อิตาลีนำ 1-0 นาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลา เดล ปิเอโร่ ยิงประตูตอกย้ำชัยชนะพาทีมอิตาลีทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 9 กรกฎาคม เวลา 01.00 น.
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์