เจ๊าเกม 120 นาที เจ้าภาพ ต้าน ?อาร์เจนฯ? 1-1 ครึ่งแรกถนอมตัวสุดฤทธิ์ ไร้เกมรุกสุดจืดชืด ก่อนครึ่งหลัง ?อยาล่า? โขกนำ ทำเกมกระเตื้อง ?โคลเซ่? ไม่วายโหม่งตีเสมอ จรัสดาวซัลโว ยิง 5 ประตูแล้ว ต้องดวลถึงจุดโทษ ปรากฏว่า ?อินทรีเหล็ก? สยายปีกสยบฟ้าขาว 4-2 ?เลห์มันน์? โชว์เหนียวเซฟ 2 พาทีมเบียร์ทะยานรอบรองฯ สมใจ ฟุตบอลโลก 2006 รอบ 8 ทีมสุดท้าย ประจำวันศุกร์ที่ 30 มิ.ย. คู่แรก ที่สนามโอลิมเปียสตาดิโอน เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน เป็นการแข่งขันระหว่าง ทีมเจ้าภาพ เยอรมัน กับ อาร์เจนติน่า เริ่มครึ่งแรก ทีมเจ้าภาพมีโอกาสพาบอลขึ้นไปลุ้นทำประตูได้สองสามครั้ง นาทีที่ 16 แบรนด์ ชไนเดอร์ ตักบอลเข้ไปในเขตโทษ ให้ มิชาเอล บัลลัค วิ่งสะบัดศีรษะโขกบอลลอยข้ามคานไปอย่างได้ลุ้น ก่อนนาทีที่ 18 เพอร์ เมอร์เตซัคเคอร์ มีโอกาสกลับตัวยิงบริเวณเส้นเขตโทษ แต่ก็ข้ามคานออกไปอีก หลังจากนั้นเกมดำเนินไปชนิดไม่มีอะไรหวือหวา ทั้งสองทีมยังไม่มีโอกาสที่จะเปิดเกมบุก โดยเล่นกันอย่างระมัดระวัง ตัดเกมกันในแดนกลางเป็นส่วนใหญ่ และภายในแดนของตัวเอง ไม่บุ่มบ่ามเปิดเกมรุกเข้าใส่กัน จนกระทั่งจบครึ่งแรกไปอย่างจืดชืดด้วยสกอร์ 0-0 เริ่มครึ่งหลังได้เพียง 4 นาที นาทีที่ 49 กองเชียร์ฟ้าขาวได้เฮลั่นสนาม เมื่อทีมมาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะ ฆวน ริเกลเม่ เปิดลูกเตะมุมฝั่งขวาเข้าไปในเขตโทษ โรเบอร์โต อยาลา ขึ้นเบียดกับ มิโรสลาฟ โคลเซ่ แต่ได้โขกเต็ม ๆ บอลพุ่งผ่านมือ เยนส์ เลห์มันน์ เข้าไปเป็นประตูให้อาร์เจนฯ นำเจ้าภาพ 1-0 หลังจากเสียประตู เยอรมันเริ่มโหมเกมบุก นาทีที่ 64 แบรนด์ ชไนเดอร์ เปิดลูกเตะมุมเข้าไปในเขตโทษ โรแบร์โต อับบอนดานซิรี่ นายทวารฟ้าขาวออกมากระโดดเบียดคว้าบอลกับ โคลเซ่ ก่อนคว้าพลาดทำบอลกระฉอกมาถึง มิชาเอล บัลลัค ที่ซัดวอลเล่ย์ด้วยซ้ายในกรอบเขตโทษ แต่ไปติดตัว อยาลา ที่ช่วยให้อาร์เจนฯรอดพ้นการเสียประตู ขณะที่ อับบอนดานซิรี่ ลงไปนอนเจ็บอยู่หน้าประตู ก่อนจะได้รับการปฐมพยาบาลเพียงครู่จนกลับมาเฝ้าเสาดังเดิม แต่แล้วนาทีที่ 71 อับบอนดานซิรี่ ทนอาการเจ็บจากจังหวะโดนเข่าลอยของ โคลเซ่ เข้าที่หน้าท้องไม่ไหว จึงต้องถูกหามลงเปลเปลี่ยนออก โดยฟ้าขาวส่ง เลโอนาโด ฟรานโก นายทวารสำรองลงมายืนเฝ้าแทน ก่อนเพียงนาทีเดียว บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ จะลองยิงฟรีคิกระยะเกือบ 40 หลาทักทายนายทวารคนใหม่ แต่บอลก็เหินข้ามคานไปเยอะ เกมเริ่มสนุกขึ้นเป็นลำดับ นาทีที่ 73 เยอรมันเกือบเสียประตูที่สอง จากความผิดพลาดของแผงหลังที่ส่งบอลกันผิดพลาดกันง่าย ๆ โดน เฮอร์นัน เครสโป เข้าไปขโมยบอลก่อนต่อบอลถึง แม็กซี่ โรดริเกซ ที่ยิงบริเวณมุมกรอบเขตโทษฝั่งขวา แต่บอลพุ่งเข้าหน้าต่าง เกือบเป็นประตูที่สองของฟ้าขาว แต่แล้วเยอรมันก็ได้ประตูตีเสมอสำเร็จ นาทีที่ 80 จากจังหวะเปิดของ บัลลัค ที่โยนจากริมเส้นฝั่งซ้ายเข้าไปในเขตโทษ ให้ ทิม โบโรว์สกี้ โหม่งชงไปหน้าปากประตูถึง โคลเซ่ ที่พุ่งโหม่งระยะเผาขนย้อนไปที่เสาแรกเข้าไปตุงตาข่ายเป็นประตูตีเสมอ 1-1 หลังจากได้ประตูตีเสมอ ทั้งสองทีมเริ่มแลกเกมบุกหวังประตูชัยในช่วงท้ายเกม 10 นาทีสุดท้าย โดยนาทีที่ 86 เยอรมัน ตัดสินใจถอด โคลเซ ผู้ทำประตูตีเสมอออก และส่ง โอลิเวอร์ นอยวิลล์ ลงมาแทน ก่อนนาทีที่ 88 อาร์เจนฯได้จังหวะลุ้นทำประตู เมื่อ จูลิโอ ครูซ ตัวสำรองที่ลงมาแทน เครสโป ในครึ่งหลัง พาบอลไปถึงเส้นหลังฝั่งขวา ก่อนเปิดตัดย้อนเข้ากลางให้ หลุยส์ กอนซาเลซ ที่วิ่งเติมขึ้นมาบริเวณเส้นกรอบเขตโทษโหม่งเน้น ๆ บอลพุ่งไปติดมือ เยนส์ เลห์มันน์ ที่ปัดออกข้างไปได้ แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกล้ำหน้าก่อน เมื่อมี คาร์ลอส เตเบซ เข้าไปบัง เลห์มันน์ ซึ่งเป็นตำแหน่งล้ำหน้า จากนั้นทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ จบเกมไปด้วยสกอร์ 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษ 30 นาที แต่ผลก็ปรากฏว่าครบ 120 นาที ทั้งสองทีมก็ทำประตูเพิ่มกันไม่ได้ ต้องหาทีมชนะด้วยการดวลกันถึงลูกจุดโทษ โดยเยอรมัน ได้เริ่มยิงก่อน โอลิเวอร์ นอยวิลล์ O(เยอรมัน 1-0), จูลิโอ ครูซ O(อาร์เจนฯ 1-1), บัลลัค O(เยอรมัน 2-1), อยาลา X(อาร์เจนฯ 1-2), โพดอลสกี้ O(เยอรมัน 3-1), โรดริเกซ O(อาร์เจนฯ 2-3), ทิม โบโรว์สกี้ O(เยอรมัน 4-2), เอสเตบัน คัมบิอัสโซ่ X(อาร์เจนฯ 2-4) ผลปรากฏว่า เจ้าภาพ เยอรมัน ยิงได้เฉียบขาด เอาชนะจุดโทษ อาร์เจนติน่า ไป 4-2 ผลสกอร์รวม 5-3 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ.
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์