แหล่งรวม ธุรกิจ บริษัท ห้างร้าน และ ข้อมูล การท่องเที่ยว ในแถบ อันดามัน
 
เข้าสู่ระบบ G! Builder
เลือกจังหวัด
ข่าวสาร ข่าวทั่วไป ภายในประเทศ

ตราไก่ถลุง2-0ชนกระทิงสวิสถีบโสมลิ่วฉะยูเครน ( ข่าวกีฬา )

ภาพประกอบ ข่าวสาร ข่าวทั่วไป : ตราไก่ถลุง2-0ชนกระทิงสวิสถีบโสมลิ่วฉะยูเครน

?ตราไก่? ฝรั่งเศส เก็บสามแต้มสุดสำคัญเบียดขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม จี.ได้สำเร็จหลังเชือด โตโก 2-0 ส่งให้ผ่านเข้ารอบไปพบกับ สเปน แชมป์กลุ่ม เอช ที่เฉือนชนะ ซาอุฯ 1-0 ก่อนหน้านี้ ขณะที่ เกาหลีใต้ หนึ่งเดียวจากเอเชียต้องน้ำตาตกเมื่อพ่าย สวิตเซอร์แลนด์ 0-2 ตกรอบอย่างน่าเสียดายส่งให้ สวิส คว้าแชมป์กลุ่มจี โดยจะเข้าไปพบกับ ยูเครน อันดับสองของกลุ่ม เอช ต่อไป

การแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 รอบแรก
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2549
กลุ่มจี (รอบแรก นัดสุดท้าย)
โตโก 0 - ฝรั่งเศส 2 สนาม : ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ สเตเดี้ยม (ไรน์ เอเนอร์กี้ สเตเดี้ยม) เมือง:โคโลญจน์ประเทศ : เยอรมัน ผู้ทำประตู: 0-1 ปาทริค วิเอร่า (ฝรั่งเศส) น.55, 0-2 เธียร์รี่ อองรี (ฝรั่งเศส) น.61 ใบเหลือง :โคล้ด มาเกเลเล่ (ฝรั่งเศส) น.30, เยา อาเซียโวนู (โตโก) น.37, เชรีฟ ตูเร่ มาม็อม (โตโก) น.44, มุสตาฟา ซาลิฟู (โตโก) น.88 ใบแดง : - แมน ออฟ เดอะ แมตช์ : ปาทริค วิเอร่า (ฝรั่งเศส) ?สแปร์โรว์ ฮอล์กส์? ทีมชาติโตโก ภายใต้การคุมทีมของ อ็อตโต้ ฟิสเตอร์ กุนซือชาวเยอรมันวัย 68 ปี พาทีมตกรอบแรกไปแล้วด้วยการปราชัยให้กับ เกาหลีใต้ และ สวิตเซอร์แลนด์ สองนัดรวด อีกทั้งต้องปราศจาก อเล็กซิส โรเมา ที่ติดโทษแบนพอดีในการเผชิญหน้ากับฝรั่งเศส อดีตแชมป์โลกปี 1998 รวมทั้งต้องขาด ลูโดวิช อัสเซโมอัสซ่า กองหลังที่เจ็บเส้นเอ็นเข่าขวาฉีกต้องพักทั้งทัวร์นาเมนท์ ส่วนทีมชาติฝรั่งเศส ปรับมาเล่นระบบ 4-4-2 ให้ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ดาวยิงจากสโมสรยูเวนตุส ลงมาเล่นเป็นตัวจริงเคียงข้างกับ ?ตีตี้? เธียร์รี่ อองรี กองหน้าอันดับหนึ่งของทีมที่ลั่นไกใส่ เกาหลีใต้ ได้ในนัดก่อน นอกจากนั้น?ตูตู้? ลิลิยอง ตูราม เซนเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติฝรั่งเศส สร้างสถิติลงเล่นทีมชาติฝรั่งเศส มากที่สุด 117 นัด ทำลายสถิติเดิมของ มาร์กแซล เดอไซญี่ ที่ทำไว้ 116 นัด ในแนวรับไม่มี เอริก อบิดัล ที่ติดโทษแบน เลยต้องให้ มิกกาแอล ซิลแวสตร์ ลงสนามมาเป็นแบ็คซ้ายแทน ส่วนตำแหน่งของ ซีเนดีน ซีดาน ซึ่งโดนแบนในเกมนี้เช่นกันเป็น ฟร้องก์ ริเบรี่ ที่ได้ลงสนามแทน ออกสตาร์ทครึ่งแรก ทีมชาติฝรั่งเศส บุกเข้าใส่ทันที มีโอกาสจะได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะที่ เธียร์รี่ อองรี ทำชิ่งกับ ฟร้องก์ ริเบรี่ ก่อนที่จะไหลคืนหลังให้กับ อองรี บอลไปชนหน้าแข้งกระดอนมาเข้าทาง ดาวิด เทรเซเก้ต์ พลิกตัวยิงทันที บอลเฉี่ยวเสาออกไปนิดเดียวเท่านั้น ในนาทีที่ 4 จากนั้น 3 นาที เลส์ เบลอส์ มีโอกาสอีกครั้งจากจังหวะที่ ฟลอร็องด์ มาลูด้า โยนจากทางกราบซ้ายมาให้กับ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ขึ้นเทคตัวโขกคนเดียว แต่ว่า คอสซี่ อากัสซ่า นายทวารทีมชาติโตโก ปัดออกไปได้สุดงาม ผ่านมาถึงนาทีที่ 8 โมฮาเหม็ด กาแดร์ คุกบัดจา พาบอลลัดเลาะขึ้นทางกราบซ้าย ก่อนยิงโค้งบอลไซด์เข้ากรอบ ทว่า ฟาเบียง บาร์กเตซ นายทวารจอมเก๋าทีมชาติฝรั่งเศส ปัดออกไปได้อย่างยอดเยี่ยม โตโก ตั้งเกมได้บ้าง นาทีที่ 10 จูเนียร์ เซนาย่า ยิงไกลจากระยะ 30 หลา แต่บอลสูงเกินไปเหินข้ามคาน จากนั้นสองนาที ขุนพลสแปร์โรว์ ฮอล์กส์ บุกขึ้นมาทางซ้าย ก่อนโยนให้กับ เชยี่ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ยิงหักข้อเข้าข้างตาข่าย เกมสนุกขึ้นตามลำดับ นาทีที่ 14 เธียร์รี่ อองรี ทำชิ่งกับ ริเบรี่ หลุดเข้าไปแต่ดันจ่ายต่อให้กับ เทรเซเก้ต์ กระทุ้งตุงตาข่าย แต่ผู้ตัดสินไม่ให้ เนื่องจากเป่าเป็นลูกล้ำหน้าไปก่อนแล้ว อีก 1 นาทีต่อมา ฟลอร็องด์ มาลูด้า ตัดสินใจพาบอลเข้ามายิงไกล ระยะ 25 หลา แต่ไม่ผ่านการป้องกันของ คอสซี่ อากัสซ่า นายทวารทีมชาติโตโก ที่รับจังหวะแรกหลุดแต่ยังมือไวเอื้อมไปตะครุบเข้าสู่อ้อมอกได้ การแข่งขันดำเนินมาถึงนาทีที่ 17 ขุนพลตราไก่ ได้ลุ้นอีกครั้งเมื่อ ฟร้องก์ ริเบรี่ ยิงจากนอกกรอบเขตโทษ ด้วยเท้าขวา คอสซี่ อากัสซ่า นายทวารทีมชาติโตโก เซฟไว้ได้อีกครั้ง หลังจากนั้น 5 นาที ริเบรี่ ม้วนตัวเข้ามาจ่ายขวางสนามให้กับ ดาวิด เทรเซเก้ต์ วิ่งเข้ายิงแต่ไม่ผ่านการเซฟของ อากัสซ่า นายทวารโตโก จากนั้น มิกกาแอล ซิลแวสตร์ เติมขึ้นมาทางกราบซ้าย ก่อนตัดสินใจยิงแต่ อากัสซ่า เซฟได้อีกครั้ง ขุนพลจากทวีปแอฟริกา ได้ลุ้นบ้างเมื่อ อเดบายอร์ พาบอลขึ้นมาจากกลางสนาม แล้วจ่ายขึ้นหน้าให้กับ มุสตาฟา ซาลิฟู ลากเข้าไปยิงบอลเข้าซอง บาร์กเตซ นายทวารฝรั่งเศส กระฉอกออกมาแต่ยังตามตะครุบไว้ได้ ในนาทีที่ 27 นาทีถัดมา ฝรั่งเศส น่าจะได้ประตูขึ้นนำเหลือเกิน เมื่อ อองรี ไหลบอลขวางสนามมาให้กับ ฟร้องก์ ริเบรี่ หลุดเดี่ยวเข้าไปยิงโล่ง ๆบอลข้ามคานไปอย่างไม่น่าเชื่อ เลส์ เบลอส์ บุกมาเป็นชุดๆ ฟร้องก์ ริเบรี่ พาบอลเข้ามาครอสให้กับ เทรเซเก้ต์ เบียดแย่งโหม่งกับ ดาเร่ นิบอมเบ้ บอลออกหลังกลายเป็นลูกเตะมุม ริเบรี่ เปิดเข้ามากลาง อากัสซ่า ชกออกมาเข้าทาง ริเบรี่ จ่ายคืนให้กับ เทรเซเก้ต์ อีกครั้ง แต่ว่านายทวารโตโก ออกมาตัดไว้ได้เสียก่อน ในนาทีที่ 32 สามนาทีต่อมา อดีตแชมป์โลกปี 1998 พยายามเหลือเกินที่จะเจาะตาข่ายให้ได้ โดย เทรเวเก้ต์ จ่ายให้กับ อองรี หลุดขึ้นไปทางกราบซ้าย แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นล้ำหน้าไปเสียก่อน ผ่านมา 40 นาที ฟลอร็องด์ มาลูด้า ยิงไกลจากนอกรอบเขตโทษ อากัสซ่า ปัดมาเข้าทางปืนของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ วอลเลย์ทันที อากัสซ่า ยังไวขวางไว้ได้แล้วตามตะครุบก่อนบอลจะพ้นเส้นประตู แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกล้ำหน้าของฝรั่งเศส ไปก่อนแล้ว นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก มาลูด้า ครอสบอลได้อันตราย แต่ว่า ฌอล ปอล อบาโล่ โหม่งเคลียร์ออกหลังไปได้ก่อนอย่างหวุดหวิด จนกระทั่งครบ 45 นาที เสมอกันไปก่อนแบบโนสกอร์ 0-0 มาเล่นกันต่อในครึ่งหลังเพียงสามนาที ฝรั่งเศส ได้ลุ้นก่อนเมื่อ ฟร้องก์ ริเบรี่ เปิดลูกฟรีคิกจากทางกราบขวา เรียดเข้ากลางมาให้กับ ดาวิด เทรเซเก้ต์ วิ่งเข้ายิงแฉลบผู้เล่นโตโก ออกหลังไป โตโก มาได้ลุ้นบ้างในนาทีที่ 50 จากจังหวะสวนกลับ มุสตาฟา ซาลิฟู ตักบอลให้กับ เชยี่ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ หลุดเดี่ยวเข้าไปไม่ล้ำหน้า แต่บาร์กเตซ ออกมาเร็วตัดไว้ได้ ทว่าผูเตัดสินเป่าเป็นลูกล้ำหน้า ทั้งที่ภาพช้าแสดงให้เห็นว่าไม่ล้ำหน้า เพราะ ซาญอล ห้อยอยู่เป็นตัวสุดท้าย เกมรุกฝรั่งเศส ได้ลุ้นตลอด อองรี จ่ายตัดหลังให้กับ ฟร้องก์ ริเบรี่ มิดฟิลด์ดาวรุ่งจากสโมสร โอลิมปิก มาร์กเซย วิ่งเข้ามายิงข้ามคานไปอย่างไม่น่าเชื่อในนาทีที่ 53 อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศส มาได้ประตูที่ต้องการจนได้ เมื่อ ฟร้องก์ ริเบรี่ พาบอลลัดเลาะขึ้นทางซ้ายคลึงหลอกคู่แข่งก่อนจะเปิดสั้นๆเข้าในเขตโทษให้กับ ปาทริค วิเอร่า กัปตันทีมพลิกตัวหนีการประกบของ ฌอง ปอล อบาโล่ ดอสเวห์ กองหลังโตโก ก่อนจะสับไกยิงบอลพุ่งเข้าทางเสาสองอย่างสวยงามช่วยให้ ตราไก่ ออกนำก่อน 1-0 จนได้ในนาทีที่ 55 และ เป็นประตูที่ 5 ของ ปั๊ต ในนามทีมชาติแล้วด้วย พอได้ประตูขึ้นนำเกมของฝรั่งเศส ผ่อนคลายขึ้นเยอะ และมาได้ประตูที่สองหนีห่างออกไปอีก จากจังหวะที่ ซาญอล หยอดเข้ามาให้กับ ปาทริค วิเอร่า โหม่งชงไปให้กับ เธียร์รี่ อองรี เลี้ยงเข้าไปยิงหักข้อด้วยขวา บอลซุกมุมประตูงามหยดช่วยให้ ฝรั่งเศส นำไปเป็น 2-0 ในนาทีที่ 61 สองนาทีต่อมา โตโก ขึ้นบอลมาบ้าง จูเนียร์ เซเนย่า ลากเข้ามาตะบันบอลแฉลบออกหลังไป จากลูกเตะมุมโดนแผงหลังตราไก่เคลียร์ออกมาได้ทัน ผ่านมา 72 นาที เลส์ เบลอส์ พยายามครองบอลไม่เน้นเข้าทำเท่าไหร่แล้ว แม้ว่าจะทำเกมขึ้นมาสวยๆแต่ไม่ยอมเล่นเณ้วในแดนหน้า ก่อนที่จะปรับแท็คติกให้ ซิลแว็ง วิลตอร์ ลงมาเล่นแทน มาลูด้า 4 นาทีนับจากนั้น โตโก เปลี่ยนเอา เชยี่ เอ็มมานูแอล อเดบายอร์ ออกให้ โธมัส ดอสเซวี่ ลงมาเล่นในแดนหน้าแทน รูปเกมยังเป็น ฝรั่งเศส ที่คุมเกมไว้ได้ ก่อนจะประคองสกอร์เอาชนะไปได้สวยงาม 2-0 เมื่อหมดเวลา 90 นาที เก็บสามแต้มสุดสำคัญ เบียดขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม จี. ผ่านเข้ารอบไปพบกับ สเปน แชมป์กลุ่ม เอช . ในวันอังคารที่ 27 มิถุนายน นี้ รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม โตโก (4-4-2) : คอสซี่ อากัสซ่า - ดาเร่ นิบอมเบ้, ฌอง ปอล อบาโล่ ดอสเซห์, มาสซาเมสโซ่ ซ็องเก, เยา อาเซียโวนู - มุสตาฟา ซาลิฟู, เชรีฟ ตูเร่ มาม็อม, จูเนียร์ เซนาย่า, โมฮาเหม็ด กาแดร์ คุกบัดจา - ริชมอนด์ ฟอร์สัน, เชยี่ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ สำรอง: ค๊อดโฌวี่ ด๊อดจิ โอบิลาเล่ (ผู้รักษาประตู) - นิมินี่ ชาญิรู (ผู้รักษาประตู) - ความี่ อั๊กโบห์, โรแบร์ มาล์ม,.อเดก็อมบี้ โอลูฟาเด้,เอริก อโกโต้, ตูเร่ อัสซิมิยู, อาโฟ เอราสซ่า,ฟร้องก์ อัสตู, โธมัส ดอสเซวี่ ฝรั่งเศส(4-4-2): ฟาเบียง บาร์กเตซ - วิลลี่ ซาญอล, ลิลิยอง ตูราม, วิลเลี่ยม กัลลาส, มิกกาแอล ซิลแวสตร์ - ฟร้องค์ ริเบรี่, ปาทริค วิเอร่า (กัปตันทีม), โคล้ด มาเกเลเล่, ฟลอร็องต์ มาลูด้า - ดาวิด เทรเซเก้ต์, เธียร์รี่ อองรี สำรอง: เกรกอรี่ กูเป้ต์(ผู้รักษาประตู) - มิกกาแอล ล็องโดร้(ผู้รักษาประตู) - ฌอง อแล็ง-บูมซง, ปาสกาล ชิมบงด้า, วิกาช โดราโซ, อาลู ดิยาร์ร่า, กาแอล ชิเว่ต์, ซิดเนี่ย์ โกวู, หลุยส์ ซาฮา, ซิลแว็ง วิลตอร์ ผู้ตัดสิน: ฮอร์เก้ ลาร์ริออนด้า (อุรุกวัย)
กลุ่มจี (รอบแรก นัดสุดท้าย)
สวิตเซอร์แลนด์ 2 - เกาหลีใต้ 0 สนาม : อาเวเด อารีน่า เมือง:ฮันโนเวอร์ประเทศ : เยอรมัน ผู้ทำประตู: 1-0 ฟิลิปป์ เซนเดอรอส (สวิตเซอร์แลนด์) น.23, 2-0 อเล็กซานเดอร์ ฟราย (สวิตเซอร์แลนด์) น.77 ใบเหลือง :พาร์ค ชู-ยอง (เกาหลีใต้) น.23, คิม จิน-คิว (เกาหลีใต้) น.37, ฟิลิปป์ เซนเดอรอส (สวิตเซอร์แลนด์) น.43, ฮาคาน ยาคิน (สวิตเซอร์แลนด์) น.55, ราฟาเอล วิคกี้ (สวิตเซอร์แลนด์) น.69, ชอย จิน-ชูล (เกาหลีใต้) น.78, อี ชอน-ซู (เกาหลีใต้) น.80, คริสตอฟ สปีเชอร์ (สวิตเซอร์แลนด์) น.82 ใบแดง : - แมน ออฟ เดอะ แมตช์ : อเล็กซานเดอร์ ฟราย (สวิตเซอร์แลนด์) ที่สนาม อาเวเด อารีน่า ในเมืองฮันโนเวอร์ เป็นการพบกันระหว่าง สวิตเซอร์แลนด์ กับ เกาหลีใต้ ที่กำลังแย่งลุ้นเข้ารอบสองอยู่เช่นเดียวกับ ฝรั่งเศส ที่ลงแข่งกับ โตโก อีกสนาม สภาพทีมของทั้งคู่ โคบี้ คูห์น กุนซือสวิส ส่งชุดใหญ่ลงสนาม โดยมี ฮาคาน ยาคิน ลงทำหน้าที่คุมเกมแดนกลาง และให้ อเล็กซานเดอร์ ฟราย กองหน้าตัวเป้าลงล่าตาข่าย ขณะที่ทีมโสมขาวของ ดิ๊ค อัตโวคาท ปรับทัพจากนัดที่แล้ว เพียงแค่การส่ง พาร์ค ชู-ยอง ลงมาเป็นกองหน้าคู่กับ โช เช-จิน และยังมี พาร์ค ชี-ซอง กับ อี ชอน-ซู ทำเกมทางริมเส้นเหมือนเดิม เริ่มเกมขึ้นมา 10 นาที ทั้งสองทีมเปิดเกมรุกเข้าใส่กันอย่างสนุกสูสี โดย ทีมโสมขาวมีโอกาสก่อนตั้งแต่นาทีที่ 4 เมื่อ อี ชอน-ซู หลุดกัปดักล้ำหน้าเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้าย แต่เปิดจังหวะสุดท้ายไม่มีใครเข้าชาร์จทัน ส่วนสวิสครองบอลได้มากกว่า และเกือบขึ้นนำในนาทีที่ 10 เมื่อ อี ยอง-เพียว เล่นพลาดเสียบอลให้ อเล็กซานเดอร์ ฟราย จ่ายต่ออีกทอดให้ ตรันกิโย่ บาร์เน็ตต้า หลุดเข้าไปถึงเขตโทษแล้ว แต่ยิงไปติดบล็อกกองหลังเกาหลีใต้ที่วิ่งเข้ามาสไลด์ได้ทัน ทีมโสมขาวรอดพ้นการเสียประตูไปอย่างหวุดหวิด เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 23 สวิส ก็มาทำประตูขึ้นนำได้สำเร็จ เมื่อมาได้ลูกฟรีคิกทางริมเส้น ฮาคาน ยาคิน ปั่นโค้งอย่างเหมาะเจาะไปให้ ฟิลิปป์ เซนเดอรอส เทกตัวขึ้นโขกเข้าไปอย่างสวยงาม ให้สวิสขึ้นนำ 1-0 อย่างไรก็ดี เซนเดอรอส ต้องออกไปทำแผลที่ข้างสนามเช่นเดียวกับ ชอย จิน-ชูล กองหลังโสมขาว เนื่องจากศีรษะไปโขกกันในจังหวะขึ้นโหม่ง อีก 2 นาทีต่อมา สวิส เกือบหนีห่างด้วยซ้ำ เมื่อกองหลังโสมขาวพลาดอีกครั้ง ปล่อยบอลหลุดเลยมาถึง ฟราย กลับตัวซัดด้วยซ้ายข้ามคานออกไปไกล สวิสยิ่งเล่นยิ่งได้ใจ และน่าได้อีกครั้งจากลูกฟรีคิกระยะ 30 หลาก่อนหมดครึ่งแรก 5 นาที ฮาคาน ยาคิน ปั่นโค้งด้วยเท้าซ้ายจะมุดเสียบใต้คานอยู่แล้ว แต่ อี วอน-แจ ปัดบอลข้ามคานออกไปได้ จากนั้นกลายเป็น เกาหลีใต้ ที่สร้างความหวาดเสียวได้เป็นระลอก เริ่มจากลูกยิงไกลของ อี ชอน-ซู แต่ไม่ผ่านมือ ซูเบอร์บูห์เลอร์ และจากลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย อี ชอน-ซู เปิดบอลเข้ามาหน้าเขตโทษ บอลตกใส่มือ คริสตอฟ สปีเชอร์ แต่ผู้ตัดสินเฉย โช เช-จิน เอี้ยวตัวซัดบอลโด่งข้ามคานออกไปอีก เกมสนุกช่วงทดเจ็บ เมื่อ อี ชอน-ซู ได้ซัดจากหน้าเขตโทษอีกครั้ง ซูเบอร์บูห์เลอร์ ยังเซฟออกหลังไปได้ ขณะที่สวิสเกือบหนีห่างเช่นกันช่วงอึดใจสุดท้ายของครึ่งแรก แต่ ฟราย พุ่งโหม่งระยะแค่ 5 หลาไม่โดนบอล จบครึ่งแรก สวิส นำเกาหลีใต้ อยู่ 1-0 ครึ่งหลัง เกาหลีใต้ เปิดเกมบุกเข้าใส่อย่างหนัก แต่จังหวะสุดท้ายยังไม่ได้ยิงแบบจะแจ้ง ขณะที่สวิสต้องเปลี่ยน เซนเดอรอส ที่มีอาการปวดศีรษะจากจังหวะทำประตูออก และส่ง โยฮัน ฌูรู กองหลังรุ่นน้องในทีม อาร์เซน่อล ลงมาเล่นแทน ผ่านไป 1 ชั่วโมง เกาหลีใต้ต้องเปลี่ยนคนแรก โดยส่ง อาห์น จุง-ฮวาน ลงมาแทน อี ยอง-เพียว และอีกไม่กี่อึดใจก็ส่ง โซล คี-ฮอน ลงมาแทน พาร์ค ชู-ยอง เกมรุกของทีมโสมขาวยังมีความผิดพลาดให้เห็นบ่อยครั้ง ผิดกับสวิสที่ใช้การโต้กลับเล่นงานทีไรเป็นได้ลุ้นทุกครั้ง โดยเฉพาะนาทีที่ 63 บาร์เน็ตต้า แทงบอลไปให้ ฟราย หลุดเข้าเขตโทษฝั่งขวา และต้องตัดสินใจยิง เนื่องจากไม่มีเพื่อนขึ้นมาเติม แต่ลูกยิงกลับไปชนเสาเต็มๆ หมดสิทธิ์ที่ อี วอน-แจ จะพุ่งถึงแล้ว ช่วงเวลา 20 นาทีสุดท้าย สวิส คุมเกมเอาไว้ได้อยู่หมัด โดยเฉพาะแนวรับ ทำให้เกาหลีใต้เจาะไม่เข้า จนกระทั่งหมดเวลาการแข่งขัน สวิตเซอร์แลนด์ เฉือนเอาชนะ เกาหลีใต้ ไปได้ 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบสองด้วยการเป็นที่ 1 ของกลุ่มจี โดยจะไปพบกับ ยูเครน ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม สวิตเซอร์แลนด์ : ปาสกาล ซูเบอร์บูห์เลอร์, ฟิลิปป์ เดเก้น, ฟิลิปป์ เซนเดอรอส, แพทริค มุลเลอร์, คริสตอฟ สปีเชอร์, ราฟาเอล วิคกี้, โยฮัน โฟเกล, ฮาคาน ยาคิน, ริคาร์โด้ คาบานาส, ตรันกิโย่ บาร์เน็ตต้า, อเล็กซานเดอร์ ฟราย สำรอง : ดิเอโก้ เบนาโญ่, ฟาบิโอ คอลตอร์ติ, ดาวิด เดเก้น, โยฮัน ฌูรู, เบลริม เซมาลี, สเตฟาน กริชติ้ง, ลูโดวิช มากนิน, ซาเวียร์ มาร์การาซ, วาลอน เบห์รามี่, ดาเนี่ยล กีแก็กซ์, เมาโร ลุสตริเนลลี่, มาร์โก สเตรลเลอร์ เกาหลีใต้ : อี วอน-แจ, อี ยอง-เพียว, ชอย จิน-ชูล, คิม จิน-คิว, คิม ดอง-จิน, อี โฮ, คิม นัม-อิล, พาร์ค ชี-ซอง, อี ชอน-ซู, พาร์ค ชู-ยอง, โช เช-จิน สำรอง : คิม ยง-เท, คิม ยอง-ควาง, คิม ซัง-ชิค, ซอง ชง-กุ๊ก, โช วอน-ฮี, คิม โด-ฮอน, อี เอิล-ยอง, เพ็ค ชี-ฮุน, อาห์น จุง-ฮวาน, โซล คี-ฮอน, ชุง คุง-โฮ ผู้ตัดสิน : โฮราซิโอ เอลิซอนโด้ (อาร์เจนติน่า)
กลุ่ม เอช (รอบแรก นัดสุดท้าย)
ตูนิเซีย 0- 1 ยูเครน สนาม : โอลิมเปีย สตาดิโอน เมือง : เบอร์ลิน ประเทศ: เยอรมัน ผู้ทำประตู: อังเดร เชฟเชนโก้(ยูเครน) น.70 (ลูกจุดโทษ) ใบเหลือง : ซิอัด จาซิรี่(ตูนิเซีย) น.9 , วีเชสลาฟ สวิเดอร์สกี้(ยูเครน) น.19 ,ริอัดห์ บูอาซิซี่(ตูนิเซีย) น.40,ซิอัด จาซิรี่(ตูนิเซีย) น.45, โอเล็ก กูสเซฟ(ยูเครน) น.47,อนาโตลี ติโมชุค(ยูเครน) น.62,อังเดร รูโซล(ยูเครน) น.65,ราห์ดี้ จาอิดี้(ตูนิเซีย) น.90 ใบแดง : ซิอัด จาซิรี่(ตูนิเซีย) น.45 (ใบเหลือง 2 ใบ) แมน ออฟ เดอะ แมตช์ : อนาโตลี ติโมชุค(ยูเครน) ที่สังเวียนฟริตซ์ วอลเตอร์ สตาดิโอน ยูเครนทีมอันดับสองของกลุ่มที่มีอยู่ 3 คะแนนลงสนามพบกับตูนิเซียทีมอันดับสามที่มีแค่คะแนนเดียว โดยเกมนี้ถ้ายูเครนชนะ ก็จะได้ตาม สเปนผ่านเข้ารอบสองไปทันที ซึ่งเกมนี้พวกเขายังใช้ อังเดร เชฟเชนโก้,อังเดร โวโรนิน และ เซอร์เก เรบรอฟ ลงประสานงานกันในแนวรุก ในขณะที่ตูนิเซียยังยึดใช้ผู้เล่นชุดเดิมลง สนาม เริ่มเกมทั้งสองฝ่ายพยายามเปิดเกมรุกเข้าแลกกัน และในน.5 ซิอัด จาซิรี่ กองหน้าของตูนิเซียก็โดนใบเหลืองไปเป็นคนแรก จากการพยายามพุ่งล้มเอาลูกที่จุดโทษ นาทีที่13 ตูนิเซียมีโอกาสลุ้นอีกครั้งจากจังหวะที่ ริอดัห์ บูอาซิซี่ ได้บอลทุ่มจากทางฝั่งขวา แล้วสับไกยิงทันที จากหน้าเขตโทษแต่ว่าบอลข้ามคานออกไป ยูเครนมีจังหวะโต้กลับอันตรายในน.21 จากการขึ้นบอลทางซ้าย และเป็น อนาโตลี ติโมชุค ที่หลุดเข้าไปสับไปยิงมุมแคบที่หน้าเขตโทษ แต่ว่าไม่ผ่านตัวของ อาลี บูมนิเฌล เกมยัง ผลัดกันรุกกันรับ น.40 บูอาซิซี่ก็มาโดนใบเหลืองจากการเข้าข้างหลังคู่แข่ง ซึ่งเป็นใบเหลืองที่สองของเขาในฟุตบอลโลกครั้งนี้ จึงต้องโดนแบนในเกมถัดไป ช่วง 5 นาทีสุดท้ายยูเครนโหมบุก และมีโอกาสลุ้นจากการยิงไกลกว่า 30 หลาของ โอเล็ก เชลาเยฟ ใน น.43 แต่ว่าบอลชนคานออกไปอย่างน่าเสียดายและในนาทีสุดท้าย ตูนิเซียก็ ต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คนเมื่อ จาซิรี่ มาโดนใบเหลืองใบที่สองของเกมนี้ จากการพุ่งเข้าไปเสียบ อนาโตลี ติโมชุค จึงโดนไล่ออกไป หมดครึ่งแรกทั้งคู่ยังเสมอกันอยู่ 0-0 ครึ่งหลังตูนิเซียที่ตัวผู้เล่นน้อยกว่า ก็ยังพยายามเปิดเกมรุกเข้าสู้ และยูเครนก็เปลี่ยนตัวใน น.54 ถอด เซอร์เก เรบรอฟ ที่ไม่ค่อยจะฟิตออก และส่ง อังเดร โวโรเบ ลงมาเล่นแทน นาทีที่ 63 อังเดร รูโซล มาพลาดโดนใบเหลืองจากการไปเสียบคู่ต่อสู้ ซึ่งเป็นใบเหลืองใบที่สอง จึงต้อ งโดนแบนในเกมนัดหน้า สองนาทีถัดมาตูนิเซียได้ลูกเตะฟรีคิก อานิส อยารี ยิงไปแฉลบกำแพงบอลพุ่งเฉี่ยวคานออกไปนิดเดียวยูเครนมาได้ลูกที่จุดโทษใน น.68 จากจังหวะที่ อังเดร เชฟเชนโก้ หลุดเข้าไป ในเขตโทษทางขวา แล้วถูก คาริม ฮากี เตะล้มลงไป และเป็น เชฟเชนโก้ ที่ลุกขึ้นมาสังหารเข้าไปไม่พลาด ให้ยูเครนออกนำ 1-0 ยูเครนถอยลงมาเน้นเกมรับในช่วงเวลาที่เหลือ และสามารถรักษาประตูที่นำเอาไว้ได้ หมดเวลา ยูเครนจึงเป็นฝ่ายเฉือนชนะไป 1-0 ได้ผ่านเข้ารอบในฐานะทีมอันดับสองของกลุ่ม รอพบกับทีมแชมป์กลุ่มจี ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูเครน : อเล็กซานเดอร์ ชอฟคอฟสกี้, อังเดร รูโซล, วีเชสลาฟ สวีเดอร์สกี้, อังเดร เนสมาชนี, โอเล็ก กูสเซฟ, อนาโตลี ติโมชุค, โอเล็ก เชลาเยฟ, มักซิม คาลินิเชนโก้, เซอร์เก เรบรอฟ, อังเดร เชฟเชนโก้, อังเดร โวโรนิน ตูนิเซีย : อาลี บูมนิเฌล, ฮาเต็ม ตราเบลซี่, ราห์ดี้ จาอิดี้, คาริม ฮากี, อานิส อยารี, ฮาเหม็ด นามูชี่, ยอว์เฮอร์ เอ็มนารี, อเดล เชดลี่, เมห์ดี้ นาฟตี้, ริอัดห์ บูอาซิซี่, ซิอัด จาซิรี่
กลุ่ม เอช (รอบแรก นัดสุดท้าย)
สเปน 1 - 0 ซาอุดิอาระเบีย สนาม : ฟริตซ์ วอลเตอร์ สเตเดียม เมือง : ไกเซอร์สเลาเทิร์น ประเทศ: เยอรมัน ผู้ทำประตู: ฆัวนิโต้(สเปน) น.36 ใบเหลือง : ซามี่ อัล-จาเบอร์(ซาอุดิอาระเบีย) น.27,ดาวิด อัลเบลด้า(สเปน) น.30,โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส(สเปน) น.35,นาวาฟ อัล-เต็มยัต(ซาอุ ดิอาระเบีย) น.77 ใบแดง : - แมน ออฟ เดอะ แมตช์ : ฆัวนิโต้(สเปน) เกมที่สนามฟริตซ์ วอลเตอร์ สตาดิโอน ระหว่างสเปน กับซาอุดีอาระเบีย เป็นเกมที่สเปนสามารถเล่นได้อย่างผ่อนคลาย เนื่องจากพวกเขาทำผลงานได้เป็นอย่างดีในเกมสองนัดแรก ที่ผ่านมา โดยพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะ ในเกมกับยูเครน และตูนิเซีย มาได้ทั้งสองนัด ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบต่อไปในฐานะแชมป์กลุ่มเป็นที่ค่อนข้างแน่นอนแล้ว ส่งผลให้ หลุยส์ อราโกเนส กุนซือทีมสเปน ตัดสินใจพักผู้เล่นตัวหลัก แล้วส่งผู้เล่นชุดสำรองลงมาหาประสบการณ์ ทางด้านซาอุฯ มีโอกาสผ่านเข้ารอบต่อไปเพียงน้อยนิดเนื่องจากผลงานในสองนัดแรกที่ผ่านมาทำได้ไม่ดีเท่าไรนัก โดยเสมอกับตูนิเซียไป 2-2 และแพ้ให้กับยูเครนถล่มทลายถึง 0-4 ทำให้ในนัดนี้พวกเขาจำเป็นต้องเอาชนะสเปนให้ได้ในสกอร์ที่ขาดลอยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เริ่มต้นเกมซาอุฯ พยามเปิดเกมบุกเร็วเข้าใส่ แต่สเปน ก็เป็นฝ่ายครองเกมและเก็บบอลได้มากกว่า เกมผ่านไปเพียงแค่ 9 นาทีซาอุฯต้องเสีย คาเล็ด อาซิซ มิดฟิลด์ของทีมที่มี ปัญหาอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาทำให้ต้องส่ง นาวาฟ อัล-เต็มยัต ลงมาเล่นแทน จากนั้นในนาทีที่ 15 สเปน มีโอกาสยิงประตูจากจังหวะที่ โมฮัมหมัด นูร์ พลาดท่าเสียบอลในแดนตัวเอง โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส ฉกบอลไปได้ก่อนที่จะผ่านให้กับ โจอากิน สับไกข้าม คานออกไปอย่างน่าเสียดาย จากนั้นสเปน ยังคงบุกหนักและอีกไม่ถึงนาที ดาวิด อัลเบลด้า ผ่านบอลให้กับเรเยส เข้าไปยิงมุมแคบบริเวณกรอบเขตโทษ แต่ มาบรูค ซาเยด ผู้รักษาประตูซาอุฯ รับบอลเข้าซองเอาไว้ได้ นาทีที่ 27 ซามี่ อัล-จาเบอร์ ได้รับใบเหลืองแรกของเกมจากจังหวะที่ไปเสียบฟาวล์โจอากิน สเปน มีลุ้นทำประตูอีกครั้งในนาทีที่ 29 จากจังหวะต่อบอลกันหน้ากรอบเขตโทษอย่าง สวยงามก่อนที่จังหวะสุดท้าย อัลเบลด้า จะยิงบอลเต็มเท้าขวานอกกรอบเขตโทษ แต่ มาบรูค ซาเยด ซูเปอร์เซฟลอยตัวปัดบอลออกไปได้ แต่หลังจากนั้นอีกเพียงแค่ 1 นาที อัลเบลด้าได้รับใบ เหลืองจากจังหวะที่ไปฟาวล์ ตัดเกมการบุกของซาอุฯ เกมเริ่มเล่นกันแรงมากขึ้น และในนาทีที่ 34 เรเยส ก็ได้รับใบเหลืองจากจังหวะที่ไปเสียบฟาวล์ จังหวะริมเส้นของ โมฮัมหมัด นูร์ แต่จากนั้นอีก 2 นาที เรเยส เปิดบอลทางฝั่งซ้าย ของสนามจากจังหวะลูกฟรีคิกเข้าไปในกรอบเขตโทษ ฆัวนิโต้ ปราการหลังของสเปน ขึ้นมาพุ่งโหม่งบอลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม สเปน ขึ้นนำซาอุฯ 1-0 สเปน ยังคงเดินหน้าบุกหนักต่อไปและในนาทีที่ 42 สเปน มีโอกาสได้ประตูนำห่างจากจังหวะที่โจอากิน เปิดบอลเข้าไปหน้าปากประตู เรเยส วอลเลย์หน้าปากประตูโล่งไร้ตัวประกบ ซาเยด โชว์ฟอร์มสุดยอดปัดบอลออกนอกกรอบไปได้ หมดครึ่งแรกสเปนนำซาอุฯ อยู่ 1-0 ช่วงพักครึ่งหลุยส์ อราโกเนส ส่งตัว ดาวิด บีย่า ศูนย์หน้าของทีมลงมาเล่นแทน ราอูล กอนซาเลซ ศูนย์หน้ากัปตันทีม โดยให้ มิเชล ซัลกาโด้ รับบทบาทเป็นกัปตันทีมแทน เริ่มครึ่ง หลังสเปน ยังคงเป็นฝ่ายบุกหนักอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่หนึ่งนาที อันเดรียส อินิเอสต้า มีโอกาสสับไกลยิงบริเวณเส้นเขตโทษ แต่น้ำหนักไม่ดีพอบอลลอยเข้าซอง ซาเยด อย่างง่ายดาย จากนั้นอีกสามนาที ต่อมาดาวิด บีย่า หลุดเข้าไปถึงเส้นหลัง ผ่านบอลย้อนมาให้กับอันโตนิโอ โลเปซ แบ็กซ้ายของทีม ยิงบอลเฉียดเสาออกไป สเปน มีโอกาสได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งในนาทีที่ 57 จากจังหวะที่ เชส ฟาเบรกลาส จ่ายบอลลอดช่องให้กับโจอากิน หลุดเข้าไปจิ้มบอลผ่านน่าปากประตูไปอย่างน่าเสียดาย u นาทีที่ 66 สเปน ส่ง ชาบี เอร์นานเดซ ลงมาทำหน้าที่ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับแทน เชส ฟาเบรกลาส ส่วนทางด้านซาอุฯ แก้เกมด้วยการส่ง มาเล็ค มาธ ลงมาเล่นแทน ซามี่ อัล-จาเบอร์ จากนั้น อีกสองนาทีต่อมา สเปน ก็ได้ส่งเฟร์นานโด ตอร์เรส ศูนย์หน้าดาวยิงลงมาเล่นแทน เรเยส เกมผ่านไป 70 นาที ซาอุฯ เริ่มตั้งเกมบุกได้มากขึ้น แต่ยังไม่สามารถหาจังหวะเข้าทำได้ชัดเจน ทางด้านสเปน คอยหาจังหวะโต้กลับแต่แดนหน้าของสเปน ยังไม่เฉียบคมพอ จบครึ่ง เวลาหลังทั้งสองทีมไม่สามารถทำอะไรกันเพิ่มเติมได้ สเปน ชนะ ซาอุฯ ไปได้ 1-0 ส่งผลให้สเปนเข้ารอบเป็นแชมป์ของกลุ่ม เอช ส่วนซาอุ ต้องอกหักตกรอบแรกไปอย่างเคย ซาอุดิอาระเบีย: มาบรูค ซาเยด,อาหมัด อัล-ดูคี, ฮุสเซน อับดุล-กานี, ฮาหมัด อัล-มอนตาชารี, เรดา ทาคาร์,ซาอุด คาริรี่, โมฮัมหมัด นูร์, อับดุล อาซิซ อัล-คาทราน, คาเล็ค อาซิซ,ซามี่ อัล-จาเบอร์, ซาอัด อัล-ฮาร์ตี้ สเปน: ซานติอาโก้ คานยิซาเรส,มิเชล ชัลกาโด้, ฆัวนิโต้, คาร์ลอส มาเชน่า, อันโตนิโอ โลเปช,ดาวิด อัลเบลด้า, อันเดรียส อินิเอสต้า, เชส ฟาเบรกาส, โจอากิน,โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส, ราอูล กอนซาเลซ

ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์

Valid XHTML 1.0 Transitional Valid CSS!
ทะเบียนพาณิชย์อีเลคทรอนิคส์ เลขที่ 8373549000215