โลดแล่นอยู่ในวงการจนได้รับฉายา “เจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง” แม้วันนี้ฉายาดังกล่าวจะกลายเป็นอดีต แต่ชีวิตของ แหม่ม-คัทลียา แมคอินทอช ยังต้องดำเนินต่อไป ถึงครั้งหนึ่งเธอจะเคยก้าวพลาด จนกลายเป็นข่าวดังเมื่อ 2 ปีก่อน ช่วงนั้นเธอโดนมรสุมชีวิตถาโถมเข้ามาจนไม่อยากจะคิดว่า “ผู้หญิงคนหนึ่งจะก้าวผ่านไปได้อย่างไร?” วันนี้เวลาผ่านไปชีวิตของเธอกลับมามีความสุขอีกครั้งกับครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีสามี “บีบี๋-สงกรานต์ กระจ่างเนตร์” และ “น้องแม็ค” ลูกชายวัยขวบครึ่ง ยืนอยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ทุก ๆ เรื่อง วันนี้ “ดาวต่าวมุม” เปิดประเดิมคอลัมน์ใหม่ ด้วยการเปิดใจเกี่ยวกับมุมมองชีวิตในวันที่ทำให้เธอมีความสุขมากกว่าที่เคย...
“ชีวิตวันนี้เราต้องเดินหน้าต่อไป ณ วันนี้ก็มีความสุขกับการอยู่กับลูก ลูกเป็นส่วนเติมเต็มให้กับชีวิตมาก อยากจะบอกทุกคนที่คิดว่ากำลังอยากจะมีลูกดีหรือไม่ดี อยากให้มีลูกนะ เพราะว่ามันมีความสุขมาก วันหนึ่งเราหมดเวลาไปกับเขาโดยไม่รู้ตัว เวลาเครียด ๆ จากทำงาน รถติด อากาศร้อน พอกลับไปถึงบ้านเขาก็จะมีอะไรที่ขำ ๆ ใส บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรแอบแฝง ให้หัวเราะให้ยิ้มตลอดเวลา มันก็ไม่ถึงกับหายเหนื่อยปลิดทิ้ง แต่เหมือนมาชาร์จแบต เติมพลัง แล้วก็เอาใหม่ ทำให้เรามีแรงอีกเฮือกใหญ่ ๆ ตอนนี้น้องแม็คก็พูดได้เป็นคำ ๆ พูดน้อย แต่เขาก็รู้เรื่องหมด ไม่ดื้อ แต่ซนทีเดียวแหละ ไม่อยู่นิ่ง”
พอผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ ไปวันนี้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง?
เป็นครอบครัวแบบไหน ?
“อบอุ่น มีความสุข เราสองคนก็ช่วยกันทำงาน เพื่อที่จะประคองครอบครัวนี้ให้ไปได้อย่างสมบูรณ์ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี อาจจะไม่ต้องรวยเป็นร้อยล้านพันล้าน แต่ว่าเราอยากทำงานในขณะที่เรามีแรงอยู่ ให้มีเงินมากมายเพียงพอที่จะส่งเสียลูกให้เรียนหนังสือดีที่สุดอย่างที่เขาต้องการ ให้เขามีคุณภาพชีวิตได้อย่างดี เราก็ไม่ได้นึกมาก่อนแต่พอมีลูกปุ๊บจากที่เคยเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ ซื้อของช้อปปิ้ง ก็คิดไม่ได้แล้วเราต้อง เก็บไว้เพื่อลูก พอลูกเข้าโรงพยาบาล ค่าเล่าเรียน ค่าเทอม แล้วจะต้องส่งไปเมืองนอก ต้องมีเงินรองรับไว้ จริง ๆ แล้วแหม่มเป็นคนประหยัดอยู่แล้วระดับหนึ่ง ไม่ใช่เป็นคนประหยัดมาก แต่ก็ไม่ฟุ่มเฟือย บางช่วงที่เราหาเงินได้เยอะ เราอาจจะตามใจตัวเองในการซื้อของที่อยากได้”
ดูแล้วแหม่มกับบีบี๋ไม่ใช่คู่รักที่หวานแหววเลย?
“มันก็เขินนะ จะมาหวานข้างนอกมันก็จะขำ ๆ แหม่มว่าของเราเผอิญมีลูกเลยด้วย มันก็เลยกลายเป็นว่าทุกอย่างมันก็มาอยู่ที่ลูก มันก็จะไม่ใช่แต่งงานแล้วเราไปเที่ยวกันสองคนหวานแหวว แต่แบบมีลูกแล้ว มันแบบข้ามขั้นตอนแล้ว ก็เลยกลายเป็นทำให้เราทั้งสองคนต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ความหวานแหววก็จะกลายเป็นหวานไปกับลูกเลย คือต้องหอมลูกทั้งวัน ตัวบีบี๋เขาก็จะมาหอมลูกทั้งวัน มันก็เลยเป็นความสุขของความหวานของเราคือการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันมากกว่า พากันไปว่ายน้ำ ขำในสิ่งที่แม็คทำในแต่ละอย่าง วันนี้เขาว่างก็พาลูกไปออกกำลังกาย ก็จะสลับกันแหม่มทำงานเขาก็จะไป ถ้าแหม่มว่างก็จะไปพร้อมกัน จุดยึดเหนี่ยวเป็นจุดเดียวของเราคือลูก และทั้งคู่ก็มีความสุขกับลูก แม็คเป็นขวัญใจของทุกคนไม่ใช่แค่แหม่ม แต่เป็นพี่วิลลี่ด้วย เราก็ดีใจที่หลาย ๆ คนรักลูกเรา มันก็ดีกับเด็ก เพราะว่าเด็กก็ใสบริสุทธิ์”
ลูกถูกจับตามองตั้งแต่เด็ก จะอธิบายให้เขาฟังยังไง?
“ก็ต้องบอกความจริง ความจริงมันก็คือพื้นฐานเบื้องต้นที่เขาจะต้องรู้ เราโกหกเขาไม่ได้ และเราก็หนีความจริงไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องบอกความจริงให้หมด แหม่มว่าการพูดเยอะ ๆ มันก็จะดีต้องอธิบาย อย่างคุณแม่เลี้ยงแหม่มมานี่พูด และเล่าทุกอย่าง สุดท้ายมันก็เข้าไปในสมองจริง ๆ เพราะฉะนั้นของแม็คก็เหมือนกัน หนึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าเขาเกิดมาในการที่แม่เป็นที่รู้จัก เกิดมาวันแรกเป็นที่จับตามอง แต่ก็คงต้องค่อย ๆ เลี้ยงเขาไป ไม่ได้มีปัญหาหรือไม่ได้กีดกันเขาจากคนรอบข้างหรือสังคมที่เราอยู่ มันช่วยไม่ได้ที่ว่าเราอยากจะส่งเขาไปเมืองนอกไปเรียนหนังสือ เราอยากให้เขาเติบโตเป็นเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่เด็กชายที่ถูกให้ความสนใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนรอบข้างรู้จักเขา แต่เรากลัวไม่อยากให้เขาเป็นเด็กเหลิง เป็นเด็กที่มีแต่คนสนใจ เขาจะเหลิงโดยที่ไม่รู้ตัว”
เตรียมแผนส่งลูกไปเมืองนอกแล้ว?
“ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น เรียนเบื้องต้นเราก็อยากให้เรียนในเมืองไทยอยู่แล้ว อยากให้ได้ภาษาไทย อยากให้ได้วัฒนธรรมไทย ร้องเพลงชาติได้ ยืนเคารพธงชาติ รู้จักกราบ รู้จักไหว้ เราชอบอะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอจุดหนึ่งมันอาจจะต้องมี พอสัก 10 กว่าขวบ ก็ส่งไปเมืองนอก พอเขาเริ่มรู้เรื่องคืออยากให้เขามีวินัย และอยากให้เป็นเด็กปกติเหมือนทั่ว ๆ ไป ซึ่งอย่างที่รู้คนก็จะต้อง อ๋อ นี่ไงน้องแม็ค เขาก็จะต้องแบบพิเศษกว่าคนอื่น ซึ่งเราไม่อยากให้เขาพิเศษกว่าคนอื่น”
แล้วไม่กลัวเขาเป็นฝรั่งจ๋าเหรอ?
“คิดเหมือนกันนะ เราก็มองหลาย ๆ ครอบครัวเป็นแบบอย่าง อยู่ที่พ่อแม่ให้ความใกล้ชิด อบรมสั่งสอนมากน้อยแค่ไหน แต่ทั้งหมดทั้งปวงจะเป็นฝรั่งหรือไม่ มันก็อยู่ที่เขาด้วย ขนาดเรามีพ่อเป็นฝรั่ง เราก็ยังไม่ฝรั่งเลย แต่เราก็คงทำให้ดีที่สุด ให้เขารับสิ่งที่ดีของการเป็นฝรั่งจ๋ามา และรับสิ่งที่ดีของความเป็นไทยไว้ แหม่มก็เลี้ยงเขาแบบเอามาหมดทุกอย่าง ไปรับรู้มาว่าอันไหนดีก็เอามา และก็รับคำแนะนำจากคนรอบข้างที่มีประสบการณ์แล้ว”
ถ้าวันหนี่งลูกต้องเข้ามาอยู่วงการบันเทิงล่ะ?
“อย่างที่บอกไม่กีดกัน ไม่ยัดเยียด แล้วแต่เขา แหม่มว่าเด็กสมัยนี้ต้องเลี้ยงอิสระ อยากให้เขาเลือกเอง แต่เราให้ทุกอย่าง เรียนดนตรี เล่นกีฬา เรียนหนังสือ ให้เขาเป็นคนเลือกว่าชอบอะไร แต่เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะยังไง แต่มันก็คงไม่ใช่ 100 เปอร์เซ็นต์ต้องเป็นวงการบันเทิง 50 เปอร์เซ็นต์ ใช่เราวงการบันเทิง แต่ตัวบีบี๋ 50 เปอร์เซ็นต์เป็นนักธุรกิจ มันก็อาจจะแล้วแต่ว่าไปทางไหน หรืออาจจะไม่ทั้งสองทาง อาจจะไปเป็นหมอ เพราะฉะนั้นแล้วแต่เขา
จริง ๆ แล้วอยากให้ลูกเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงรึเปล่า?
“เฉย ๆ ค่ะ มันเลยข้ามจุดที่เราอยากหรือไม่อยากแล้ว มันมีความรับผิดชอบในเรื่องของการว่าขอให้อะไรก็ได้ที่เขาทำแล้วเขามีความสุข ถ้าเขาอยากอยู่วงการบันเทิงและเขาชอบมาก เราก็จะให้เขาอยู่ แต่ถ้าถามว่าตอนนี้เขาชอบอะไร รู้เลย เขาชอบเล่นกีฬามาก ชอบสวิงกอล์ฟ ขวบครึ่งนี่ลีลาใช้ได้เลย และก็ชอบว่ายน้ำ ชอบทำกิจกรรมนอกบ้าน อาจเป็นส่วนหนึ่งที่แหม่มชอบเดินทาง เขาอาจได้ทุกอย่างจากเรา ไม่มีจากพ่อเลย และก็รู้สึกว่าเขารักสัตว์ ชอบธรรมชาติ”
จะมีน้องให้แม็ครึยัง?
“ไม่ได้คิดไว้ แต่ว่าปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ เราคิด 2 ด้านนะ วันหนึ่งถ้าเรามีน้องให้เขาก็จะดี มีอะไรก็ปรึกษากัน เหมือนแหม่มกับพี่วิลลี่ การมีพี่น้องมันดีอย่างเกิดมีเรื่องเศร้า เราก็จะไม่รับคนเดียวอย่างน้อยเราก็มีคนคอยแชร์ความรู้สึก ตอนคุณพ่อเสีย เราก็รู้สึกแย่มาก ๆ แต่มีพี่วิลลี่มาแชร์ความรู้สึกเศร้า ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ขณะเดียวกัน มันก็น่ากลัวเหลือเกินมีลูกอีกหลาย ๆ คน จะไหวไหมนี่ เป็นห่วงลูกมากกว่า แต่เราก็จะแบบถึงไหนถึงกันเต็มที่ ถึงได้บอกว่ารัก ๆ กันไปเถอะ บีบี๋ก็อยากมีนะ เพราะว่าเราทั้งคู่ก็มาจากครอบครัวเล็ก ครอบครัวที่มีสมาชิกน้อย เราก็จะรู้สึกว่า มีกันเยอะ ๆ มันก็เฮ สนุกดี แต่ก็เป็นห่วงสังคมตอนนี้ เขาก็เวียนหัวเหมือนกันนะไม่รู้จะเป็นอย่างไร ก็จะเป็นห่วงในแง่ของความเป็นพ่อเป็นแม่ ก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า”
ตัวตนที่แท้จริงของแหม่มเป็นอย่างไร?
“ตัวตนจริง ๆ เป็นแบบที่เห็นนี้ ในละครไม่ต้องพูดถึงเพราะมันเป็นบทบาท งานพิธีกรก็คือตัวตนเรา จริง ๆ ก็จะแบบง่าย ๆ สบาย ๆ ธรรมดาเหมือนทุก ๆ คน”
แต่ตอนมีปัญหานั้นดูนิ่งมาก?
“มันต้องมีสติ เราไม่ได้เป็นคนเก่ง หรือแน่มาจากไหน แต่จะโวยวายเลยเหรอ คิดฆ่าตัวตายหรือทางออกด้วยวิธีไหน เราก็คิดว่ามันไม่ถูกต้อง มันก็ต้องแบบค่อย ๆ นิ่ง ตั้งสติให้ดี มีสติ แล้วค่อย ๆ คิด และบวกกับว่าเราก็โชคดีที่มีคนรอบข้างที่ดี พี่น้องเพื่อนฝูง ที่แบบคอยให้สติคอยให้กำลังใจ”
พอกลับมาทำงานก็มีข่าวที่ว่าถูกถอดจากละคร “เปลือกเสน่หา”?
“ข่าวไม่มีอะไรเลย ทุกคนก็ยังงงกันอยู่ ก็เข้าใจธุรกิจของการทำหนังสือ การเป็นข่าวจะต้องมีอะไรให้กระตุ้นอยู่ตลอดเวลา อันนั้นต้องเข้าใจในส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งควรจะเห็นใจคนอ่าน เขาจะงงอันไหนจริงอันไหนปลอม การกลับมาคราวนี้ก็ต้องตั้งใจทำงานรับผิดชอบให้เต็มที่ที่สุด แหม่มก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องกลับมาแล้วต้องเจ๋ง แต่มันเป็นเรื่องของอาชีพที่เรารัก วงการบันเทิงเป็นอาชีพที่แหม่มทำมาตลอดไม่เคยทำอาชีพอื่นเลยตั้งแต่เรียนหนังสือด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเราก็รักและผูกพันไปแล้ว เราก็แค่ขอเป็นส่วนหนึ่งเล็ก ๆ ในการทำงานอาชีพนี้ให้ดีที่สุด ถ้าเราไปอึดอัดกับมัน ไปเครียดกับมัน จะเป็นผลกระทบให้กับงานแล้วก็รวมถึงตัวเองด้วย”
ยอมรับกับเสียงวิจารณ์ที่จะเกิดขึ้น?
“ยอมรับมาตลอด บางทีเสียงวิจารณ์ มันทำให้หมดกำลังใจนะ แต่ที่ผ่านมามันเจอเยอะเหมือนกัน เราต้องอยู่ในโลกของความเป็นจริง อย่างที่บอกแหม่ม ไม่ใช่เป็นใครที่แน่ เราไม่เคยรับไม่ได้กับคำวิจารณ์ รับได้เพราะเราถือว่าคำวิจารณ์ ทุกคำเป็นสิ่งที่จะมาช่วยให้เราพัฒนาต่อไป มีคนรักแล้วก็มีคนเกลียด คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณมาปุ๊บแล้วจะเจ๋งตลอด ซึ่งดีเสียอีกที่ช่วยติกันเข้ามาติเพื่อก่อ ไม่ใช่ว่าแบบต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ติ มันก็แย่เหมือนกัน”
เคยเสียกำลังใจมาก ๆ ไหม?
“เหนื่อยมากกว่า แล้วมันก็มีบางช่วง เราเป็นมนุษย์ก็มีท้อ โห...เหนื่อยจังเลย กับสิ่งที่เกิดขึ้นอะไรต่าง ๆ แต่ว่าต้องมีสติ โชคดีที่เรามีคนรอบข้างที่แบบคอยให้กำลังใจคอยเตือนสติว่าต้องทำอย่างไรต่อไป เราต้องเข้มแข็ง เรามีลูกแล้วนะ ต้องยืนหยัดเพื่อลูก ตอนนี้เราจะมีน้องแม็ค แหม่มก็ยังรู้สึกมีบุญที่ยังได้เกิดมาเป็นน้องพี่วิลลี่ เกิดมาเป็นลูกแม่ ลูกพ่อ แล้วก็มีญาติพี่น้องที่ดี เพื่อนฝูงที่ดี และยังมีแฟน ๆ ที่ยังคงให้กำลังใจ ทุกวันก็ยังมีแฟนคลับให้กำลังใจ แฟนคลับที่รู้สึกว่าไม่ใช่แฟนคลับแล้ว แต่จะเป็นเหมือนพี่น้อง”
การถูกมองเป็นไอดอลทำให้ใช้ชีวิตลำบากรึเปล่า?
“อันนี้มันก็ต้องย้อนไปตอนที่แหม่มเข้าวงการก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดานี่แหละ พอเข้าวงการเราก็เหมือนถูกให้เกียรติ ในการเป็นไอดอลในใจใครหลาย ๆ คน เราก็พยายามทำตัวดีมาตลอด มีวินัย ตรงเวลา รับผิดชอบ ไปลามาไหว้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ที่เราทำงานกันมา 10 กว่าปี รวมทั้งหน้าที่ทูตยูนิเซฟด้วย ก็มีคนที่มองแบบเรามาเป็นตัวอย่าง เราก็พยายามอยู่แล้วที่จะเป็นแบบอย่างที่ดี แต่แน่นอนมันก็คงมีที่เราก้าวพลาดโดยไม่ตั้งใจ ไม่ได้เจตนาแล้วไม่อยากจะทำให้ใครเสียใจ หรือผิดหวังอะไรเลยแต่ว่ามันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ตัวเรานั่นแหละเราก็ผิดหวังเหมือนกันว่า มันไม่น่าเกิดขึ้นเลยทำไมเราจึงพลาดไป แต่พลาดมันก็คือพลาด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ซึ่งก็ทำให้คุณแม่ ครอบครัว พี่ชาย แฟนละครผิดหวัง มันก็เฮิร์ตพอสมควรอยู่แล้ว แต่ ณ วันนี้เราก็อยากเดินหน้าไปให้ดีที่สุดเพราะว่าเราก็มีหน้าที่ เราเป็นแม่ของแม็ค เพราะฉะนั้นเราก็อยากเป็นแม่ที่ดี พยายามเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างที่บอกค่ะว่าน้อมรับแล้วก็ขอโทษทุก ๆ คนจากใจจริงอยู่แล้ว แม็คก็ขวบครึ่งกำลังจะสองขวบแล้ว แหม่มขอพื้นที่เล็ก ๆ พื้นที่หนึ่งให้ใช้ชีวิตและเดินหน้าต่อไป”
ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่อะไร?
“แน่นอนลูกชายของเราก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องดูแลรับผิดชอบเขา และเป็นหน้าที่เราดูแลรับผิดชอบและก็เป็นความสุขของเราด้วยที่ดูแลรับผิดชอบเขา พาเขาไปให้ตลอดรอดฝั่งเท่าที่เราจะทำได้ให้ไกลที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างอื่นไม่มีความสุขเลย ความสุขแหม่มก็ยังได้ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงได้อยู่ใกล้ครอบครัวอย่าง พี่วิลลี่ คุณแม่ เพื่อนฝูง น้องแฟนคลับ”
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากจะยอมรับกับคำว่า “เจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง” ไหม?
“แหม่มขอบคุณมาก ที่ได้ฉายา มันก็เป็นฉายาที่ให้กันกับบทบาทกับภาพที่เห็น แต่ในชีวิตจริงมันไม่ได้ เราก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เราไม่มีคุณสมบัติที่เป็นเจ้าหญิง เผอิญได้รับบทบาทให้ดูเหมือนเป็นเจ้าหญิง แต่ว่าไม่ดีกว่าค่ะ ไม่ขอรับเพราะว่าเราไม่ใช่เจ้าหญิง”
มองวงการบันเทิงอย่างไร?
“วงการบันเทิงก็พยายามเปิดตัวให้เหมือนกับที่ทั่วโลกเป็น แล้วก็คงพยายามพัฒนาตัวเอง ทุก ๆ วงการมันก็พัฒนาก้าวไปเร็วก็ดี แต่ก็จะมีข้อเสียอย่างที่เราเห็น ๆ เริ่มมีแอบถ่ายตามสถานที่ต่าง ๆ แต่ถ้าให้พูดถึงวงการบันเทิงในแง่ของการทำงาน อยู่ที่ทุก ๆ คนต้องช่วยกันว่าพัฒนาไปได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นละคร รายการ ต้องสอดแทรกประโยชน์ด้วย และยังสอดแทรกฝีมือ ประเทศเราพื้นฐานเป็นคนมีน้ำใจ โอบอ้อมอารี อย่าแบบพยายามเป็นศัตรูกัน มีแต่จ้องจับผิด แหม่มว่ามันไม่ดีต้องหาวิธีการที่จะพัฒนาขึ้นไป”
แหม่มมีความคิดเห็นกับสื่อบ้านเราอย่างไร
“พูดยากนะถ้าจะให้แสดงความคิดเห็นก็จะต้องโดนสื่อวิจารณ์อีก ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี แต่ว่าในมุมของแหม่มเข้าใจว่าจะต้องมีเขียนอะไรแบบกัดจิกเล็กน้อย ให้มันมีสีสันน่าสนใจ แต่แหม่มว่าสำคัญสุดอย่าไปทำลาย คนคนนั้นถูกทำลายไปเลย หรือชีวิตเขาถูกเปลี่ยนไปเพราะคุณ อันนี้แหม่มว่ามันรุนแรง เช่น สมมุติว่า คุณเขียนถึงใครสักคนหนึ่งที่เขาก็เป็นคนปกติธรรมดาที่มีความคิดดี เป็นคนดี แต่เขียนทำให้ภาพเขาเปลี่ยนไปจนเป็นอีกแบบ คนอ่านหนังสือมีสิทธิที่จะได้รับข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง คนอ่านเขาก็จะเชื่อไปตามสื่อของคุณ การมีสื่ออยู่ในมือนี้ คุณก็ควรจะต้องนำเสนอข่าวสารที่ถูกต้อง มีสีสันบ้างเหมือนเป็นน้ำจิ้ม สื่อที่กัดไม่ปล่อยอันนี้ก็น่ากลัวเหมือนกันนะ ก็ไม่รู้จะกัดกันไปถึงไหน บางทีอยากถามเจตนาว่าต้องการอะไร สนุกหรือเปล่า หรือมันทำให้หนังสือคุณขายได้ มันช่วยในเรื่องของการดำรงชีวิตหรือเปล่า ไม่อยากเห็นหน้าคนคนนี้อีกแล้วหรืออะไร แหม่มว่าบางทีมันก็ไม่แฟร์สำหรับคนที่โดนเหมือนกันว่าจะเอาอะไรกันแน่ มันทำให้สูญเสียความเป็นตัวตนเหมือนกัน พลาดไป 1 ครั้ง คุณก็กัด และไม่รู้ว่ากัดถึงเมื่อไหร่ แล้วจะอย่างไรต่อไป แล้วก็บอกเขาว่าให้ออกไปจากวงการ กัดแล้วให้โอกาสในการปรับตัวปรับใจไหม หรือยังเห็นเขามีความสามารถในวงการบันเทิงหรือไม่ หรือว่าเขามี แต่ไม่เอาแล้ว มันก็พูดยากเหมือนกัน”
ทุกวันนี้ถือว่ามั่นคงในชีวิตหรือยัง?
“ในเรื่องของปัจจัย เรื่องของเงินก็ไม่ได้บอกว่ารวยล้นฟ้า ก็อยู่ได้ ถ้าแหม่มไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง บีบี๋เค้าก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่ว่าเราก็ยังรักอาชีพนี้ เรายังเป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถพัฒนาอาชีพนี้ที่จะทำความสุขให้รอยยิ้มกับประชาชน”
อยากฝากอะไรถึงใครไหม?
“ฝากถึงทุกคนนั่นแหละ เราภูมิใจเถอะว่าเราเป็นคนไทย แต่เราอย่าลืมว่าคนไทยเป็นคนโอบอ้อมอารีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ให้อภัย ให้โอกาส นี่ไม่ใช่มาเกี่ยวข้องกับชีวิตแหม่มนะคะ ตัดแหม่มออกไป กับทุก ๆ คนนั่นแหละ บางทีคนเรามันเอื้ออาทรกันสามัคคีกันเถอะ พูดโดยรวมไม่ใช่เฉพาะของวงการบันเทิง จ้องจับผิดนี่มันง่าย แต่เราเอาเป็นว่าจะช่วยกันนำพาให้ประเทศเจริญก้าวหน้า หรือแม้กระทั่งว่าวงการบันเทิงเรา ไม่ใช่ว่าหันหน้ากันไปแล้วไว้ใจกันได้หรือเปล่าอะไรอย่างนี้ แหม่มก็ยังมีภาพที่ดีของวงการบันเทิงในสมองอยู่ เจอนักข่าวคนนี้ สวัสดีค่ะ เป็นเหมือนครอบครัวเป็นเหมือนความอบอุ่น แหม่มว่าไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าต้องไปซูฮกผู้ใหญ่คนนี้ไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องโดนด่า หรือเป็นพวกคนนี้เอาไว้ดีกว่า”
นี่คือความในใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป วันนี้เราได้เห็นแง่มุมความคิดอีกด้านของเธอ แม้ชีวิต “ในโลกของมายา” อาจจะสะดุด แต่ “โลกแห่งความเป็นจริง” ชีวิตเธอก็ยังดำเนินต่อไป...
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์