ช่วงนี้กำลังติดพันอยู่กับการดูซีรีส์เกาหลีเรื่อง “ลีซาน”ที่เป็นเรื่องราวของ กษัตริย์ ลีซาน กษัตริย์องค์ที่22 แห่งราชวงศ์โชซอน ของประเทศเกาหลี ที่ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้ทรงเป็นทั้ง นักรบ นักปราชญ์ นักปกครอง ที่ส่งเสริม พัฒนาความเจริญรุ่งเรืองให้กับอาณาจักรในหลายๆ ด้าน
ผมดูยังไม่จบเรื่อง แต่ก็ใกล้เต็มที่ ดูไปดูมารู้สึกว่า เรื่องราวบางส่วนในละครช่างคล้ายคลึงกับการเมืองของไทยในวันนี้เสียจริง โดยเฉพาะการที่บ้านเมืองตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของ”คนสองกลุ่ม”ที่ต่างขับเคี่ยวชิงไหวชิงพริบกันอย่างดุเดือด ชนิดไม่มีใครยอมใคร อยากให้ลองดูกัน แล้วจะรู้ว่า ใกล้เคียงกันจนน่าขนหัวลุก
และเมื่อหันมามองการเมืองไทยที่กำลังขับเคี่ยวกันหน้าดำหน้าแดง อยากจะบอกว่า คนไทยเลิกดู “ละคร”กันเถอะครับ ละครช่อง3,5,7,9 อายไปเลย เพราะว่าทุกวันนี้ละครการเมืองของไทยเผ็ดแซ่บมันส์กว่ากันเยอะ มีทั้ง โศก (คนไทยร่ำไห้กันทั้งประเทศ เพราะคนไทยตีกันเอง,เนวิน ร่ำไห้ต่อหน้าสื่อ), ตลก(แบทแมน โผล่ตรงวันที่ รถแก๊ส โผล่ไปจอดที่ย่านดินแดง), บู๊ แอ๊คชั่น (เสื้อแดง ปะทะ เสื้อน้ำเงิน,เสื้อแดงโรงแรมที่จัดการประชุมผู้นำหลายชาติ ที่พัทยา,ทหารสลายม๊อบ), ยิงกันเลือดสาด (ประชาชน ทหาร บาดเจ็บ,สนธิ ถูกยิง),
ฆาตกรรม ซ่อนเงื่อนซ่อนปม (ศพโผล่กลางแม่น้ำ), มีการแฉ ฉะ ฉาว กันอุตลุด “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร?”แฉองคมนตรี,แฉนักการเมือง,นักการเมืองแฉ “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร?”ฯลฯ ขาดอยู่อารมณ์เดียวคือ อารมณ์ “รักสามัคคี”ที่คนไทยส่วนใหญ่ทั่วประเทศกำลังเฝ้ารอว่า เมื่อไหร่คนไทยถึงจะกลับมารักกันดังเดิม
เกิด “สงครามข่าว”แย่งคะแนนนิยมจากประชาชนตาดำๆกันจนไม่รู้ว่า ใครชัวร์-ใครมั่วนิ่ม ถ้าเป็นนิยายฆาตกรรมของ อกาธา คริสตี้ ก็ต้องบอกด้วยประโยคฮิตว่า “ทุกคนมีสิทธิ์เป็นฆาตกรหมด”
ในซีรีส์ “ลีซาน”มีตอนหนึ่งที่ “โดน”สุดๆ ! จนต้องขออนุญาติหยิบมาบอกต่อ เพราะเห็นว่า น่าจะเป็นข้อความที่จะ “เตือนใจให้คิด”สำหรับหลายๆ คนได้ดี
เพราะ ณ วินาทีนี้ ดูเหมือนว่า หลายคนกำลัง “สนุกหลงระเริง”อยู่กับคำว่า “อำนาจ”ต่างแข่งกัน “โชว์พาว”ว่าใครจะเหนือกว่ากัน โดยไม่แคร์ว่า ประชาชนคนไทยอีกหลายล้านคนจะเป็นอย่างไร บ้างเมืองจะฉิบหายล่มจมอย่างไร
นั่นเป็นตอนที่ ฮงคุกยอง ขุนนางที่ กษัตริย์ลีซาน ทรงไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด เพราะร่วมต่อสู้กอบกู้ราชบัลลังก์มาด้วยกัน จนกระทั่งพระองค์ได้มอบ “อำนาจ”ให้เต็มที่ให้เขาเป็นทั้ง หัวหน้าราชองครักษ์,ราชเลขา และยังเป็น พระเชษฐาของพระสนม เสียอีก
แล้ววันหนึ่ง “อำนาจ”ก็ทำให้เขาเปลี่ยนไป เขาเริ่มหลงละเริงกับอำนาจ จนเกิดความขัดแย้งกับขุนนางอีกกลุ่ม ในฉากนี้ ขุนนางจาง ขุนนางอาวุโสอีกคนได้เตือนแกมด่าฮงคุกยอง ว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดคนเราถึงได้เปลี่ยนไปเมื่อมี “อำนาจ”เพราะมันสามารถใช้เป็นทางลัด ทำให้สะดวกรวดเร็วกว่าตอนที่ยังไม่มียังไงล่ะ” “อำนาจให้สิ่งนั้น”เพราะเช่นนี้ยังไง ถึงไม่มีใครสามารถต่อต้านอำนาจได้ และคนเหล่านี้ถึงได้เปลี่ยนไป”
“ถนนที่เจ้ากำลังเดินอยู่นั้น มันชัดเจนในสายตายิ่งนัก ราชเลขาฮง”ไม่ว่าเจ้าจะขัดขืนสักเพียงใด เจ้าก็จะพบตัวเองในอีกเส้นทางหนึ่ง และในเส้นทางนั้นเอง เราจะพบตัวเอง ต้องทนทุกข์กับผลของการกระทำ เหมือนดังเช่นคนอื่นที่เคยทนทุกข์มาก่อนเพราะ “อำนาจ” โดนเต็มตีน! พะย่ะค่ะ คุณผู้ชม
สำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายไม่รู้จบสิ้น อนุญาติให้อ่านทวนหลายๆ รอบ อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่ามันจะเจาะเข้าไปในกะโหลก และฝังลึกเข้าไปในเซลส์สมองส่วนที่ลึกที่สุด กระตุ้นต่อมทุกต่อมในสรรพางค์กาย ที่จะทำให้คุณท่านทั้งหลายได้”สำนึก” ที่เห็นพล่ามกันว่า รักชาติ ทำเพื่อชาติบ้านเมือง และประชาชนชาวไทย สุดท้ายก็เห็นมีแต่”ผลประโยชน์”เท่านั้นที่เป็น”คำตอบสุดท้าย”แบบไม่ต้องใช้ “ตัวช่วย” ถุยชีวิต!
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์