ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 ธ.ค.) มีการสัมมนาเรื่อง ?แนวทางการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน? จัดโดยสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดย พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการเพื่อสอบสวนและศึกษาสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งเป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า กลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่ภาคใต้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มอุดมการณ์ คือกลุ่มที่ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ตนทำผิด ยึดมั่นในประวัติศาสตร์ กลุ่มสยาม คือ กลุ่มที่มีความจงรักภักดีต่อประเทศสยาม แม้จะมีเชื้อสายมลายู จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และกลุ่มประชาชนทั่วไป คือ กลุ่มคนที่พร้อมจะเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการกระทำของเจ้าหน้าที่
พล.อ.ปานเทพ กล่าวต่อว่า ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มักจะรุนแรงขึ้นเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เสมอ แต่นายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาจะปล่อยให้หน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบแก้ปัญหาโดยไม่มีฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซง ยกเว้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่คิดว่าตัวเองรู้ทุกเรื่อง หลังจากเกิดเหตุระเบิดที่หาดใหญ่ แล้วระบุว่าเป็นการกระทำของโจรกระจอก และสั่งให้จับผู้กระทำความผิดให้ได้ภายใน 1 เดือน สุดท้ายจับได้แพะ นำมาสู่ความเจ็บแค้นทางด้านจิตใจของญาติพี่น้องและผู้ที่ถูกจับ จากนั้นยังได้สั่งการด้วยวาจาให้ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) รับผิดชอบความมั่นคงแทนแม่ทัพภาคที่ 4 ถือเป็นการทำลายโครงสร้างของหน่วยงานในพื้นที่ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของหน่วยงานทั้ง ศอ.บต.และ พตท.43 มีการถอนทหารออกจากพื้นที่ ทำให้สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้น
?จริงๆ แล้ว การยุบ ศอ.บต.และ พตท.43 ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การถอนทหารออกจากพื้นที่ไปถึง 2 ปีกว่า และให้ตำรวจมาดูแลพื้นที่อย่างเดียว ทำให้กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มก่อความไม่สงบที่อยู่บนป่าบนเขาลงมาบนพื้นราบปลุกระดม ทำให้บางหมู่บ้านชักธงเขียวได้ กว่าเจ้าหน้าที่จะไปถึงก็เอาธงลงแล้ว? อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว และว่า ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่ปัญหาการแบ่งแยกดินแดนอย่างแน่นอน แต่เป็นการเรียกร้องความเป็นธรรมที่ผิดวิธี ซึ่งเปรียบเหมือนไฟสุมขอน หรือคนไข้เรื้อรัง ซึ่งอาการจะดีหรือแย่ลง ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ และต้องเอาชนะทางความคิด และดึงมวลชนเข้ามามีส่วนร่วม เอาชนะใจคนในพื้นที่ให้ได้ จึงสามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์