เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 19 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำ จ.ศรีสะเกษ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านกล้วย หมู่ 10 ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ว่ามีครอบครัวหนึ่งฐานะยากจนมาก หัวหน้าครอบครัวเป็นหญิงม่ายวัยชรา ต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิตเพื่อเลี้ยงลูกชาย ลูกสาวพิการสติไม่สม ประกอบ และหลานๆ ที่อยู่ในวัยเยาว์รวม 10 คน โดยออกเร่รอนขอทานและขอข้าวก้นบาตรพระมากินประทังชีวิตไปวันๆ จึงอยากวิงวอนสื่อมวลชนให้ช่วยเป็นตัวแทนผ่านไปถึงภาครัฐให้เข้ามาช่วยเหลือด้วย
หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบยังบ้าน เลขที่ 7 หมู่ 10 บ้านกล้วย ต.ยาง อ.กันทรารมย์ เมื่อไปถึงพบว่าบ้านหลังดังกล่าวแทบไม่มีสภาพเป็นบ้านให้มนุษย์อาศัยอยู่ได้ ตัวบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง ขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 4 เมตร สภาพทรุดโทรมมาก หลังคามุงสังกะสีผุๆ ฝาด้านข้างปิดด้วยถุงพลาสติก กระสอบปุ๋ย และเศษไม้ตามแต่จะหาได้ ภายในบ้านไม่มีเฟอร์นิเจอร์ หรือทรัพย์สินมีค่าอื่นใด มีเพียงเสื่อ หมอน มุ้ง และผ้าห่มเก่าๆ กลางบ้านพบหญิงชรานั่งล้อมวงกินข้าวอยู่กับลูกๆ และหลานชาย-หญิงรวม 10 ชีวิต ในสำรับมีเพียงปลาร้าตัวเดียวไว้จิ้มกินกับข้าวสวยแห้งกรัง สร้างความสลดใจให้ผู้พบเห็นอย่างยิ่ง
นางบุญมี จุลแดง อายุ 63 ปี เจ้าของบ้านเปิดเผยเรื่องราวชีวิตรันทดด้วยน้ำเสียงหดหู่ว่า สามีเสียชีวิตไปเมื่อ 10 ปีก่อน ทิ้งให้เลี้ยงลูกชายหญิงรวม 5 คน เพียงลำพัง โดยคนโตชื่อนายมาย จุลแดง อายุ 42 ปี ไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วติดต่อไม่ได้อีกเลย คนรองชื่อนางวันดี สายคำภา อายุ 40 ปี แต่งงานมีลูก 2 คน ไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วติดต่อไม่ได้เช่นกัน โดยทิ้งลูกทั้ง 2 คนไว้ให้ตนเลี้ยง คนที่ 3 คือนายสุนีย์ สายคำภา อายุ 39 ปี อาศัยอยู่ด้วยกันเพราะขาพิการเป็นโปลิโอ คนที่ 4 ชื่อนางนารี สายคำภา อายุ 32 ปี ขาพิการเป็นโปลิโอและมีอาการทางสมอง ได้สามีจนมีลูก 2 คน แต่สามีก็ทิ้งไปอีก ตนจึงต้องรับเลี้ยงทั้งแม่และลูก ส่วนคนสุดท้องชื่อนางไพรมณี สายคำภา อายุ 30 ปี ขาพิการเป็นโปลิโอ ช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ เคยมีสามีและมีลูก 2 คนต่อมาสามีทอดทิ้งไปเช่นกัน ปัจจุบันจึงต้องแบกรับภาระหาเลี้ยงลูกพิการ 3 คน หลานชาย-หญิงวัยตั้งแต่ 2-12 ปี อีก 6 คน รวมทั้งหมดถึง 10 ชีวิต
?ทุกวันนี้ลำบากมาก ต้องขอข้าวเพื่อนบ้าน และข้าวก้นบาตรจากพระมากินประทังความหิวไปวันๆ บางวันก็แทบไม่มีอะไรยาไส้ ต้องออกเร่รอนขอทาน ไม่อย่างนั้นก็อดตายกันทั้งบ้าน ลูกๆ ก็พึ่งพาไม่ได้เพราะพิการทุกคน บางคนก็หายสาบสูญไปเลย ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่ฉันคนเดียว ยังดีที่มีเพื่อนมีน้ำใจหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เป็นครั้งคราว รวมทั้งพระวัดบ้านกล้วยก็เมตตาให้ข้าวปลาอาหารมาบ้าง และ อบต.ยางก็ให้ข้าวเปลือก สำหรับรายได้อย่างอื่นไม่มีเพราะไม่มีความรู้และที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง หลานๆ ก็โตขึ้นทุกวัน ยังไม่รู้เลยว่าจะให้เรียนหนังสือได้อย่างไร เพราะไม่มีเงินจะส่งเสีย ที่ผ่านมาไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเลย ทั้งๆที่ก็เป็นคนไทยคนหนึ่งเหมือนกัน? นางบุญมีกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ด.ญ.หลิน สายคำภา อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.3 รร.บ้านกล้วย หลานสาวคนโต ซึ่งเป็นความหวังคนเดียวที่พอจะดูแลครอบครัวได้ กล่าวทั้งน้ำตาว่า ขอขอบคุณผู้สื่อข่าวที่มอบเงิน 1,000 บาท ให้ครอบครัว จะเก็บไว้ซื้ออาหารให้ได้นานที่สุด ทุกวันนี้ครอบครัวยากจนบางวันไปโรงเรียนก็ไม่ได้กินข้าวเช้า ต้องรอกินข้าวกลางวันพร้อมเพื่อนๆ หากอาหารเหลือก็จะขอคุณครูห่อกลับบ้านเพื่อเลี้ยงคนในครอบครัว ถ้าได้เรียนหนังสือสูงๆ โตขึ้นก็อยากจะเป็นหมอ จะได้นำเงินมาสร้างบ้านที่มีเพียงห้องเดียวแคบๆ ให้ทุกคนได้อาศัยอย่างสบาย
ด้านนายเรืองศรี ภูพวก ครูประจำชั้น ป.3 รร.บ้านกล้วย เผยว่า ด.ญ.หลินเป็นเด็กเรียนดีสอบได้เกรด 4 ทุกวิชา ทางโรงเรียนติดตามดูแลอยู่เสมอ แต่ช่วยเหลือได้ภายในกรอบ เพราะเด็กไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านและทะเบียนนักเรียนของโรงเรียน เป็นแค่เด็กฝากเรียน จึงไม่มีทุนการศึกษาให้ ได้รับแต่เสื้อผ้า หนังสือเรียน และอาหารกลางวันเหลือก็ให้ห่อกลับบ้าน จึงอยากให้ผู้มีจิตศรัทธาช่วยอุปการะเด็กด้วย เพราะครอบครัวนี้น่าสงสารมาก
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์