เมื่อเวลา 10.30 น. ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อ.เมือง จ.ยะลา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายอารีย์ วงศ์อารยะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวิจิตร ศรีสะอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เดินทางมาเพื่อพบปะกับ นักเรียนนักศึกษา อาจารย์ และครูอัตตาจ้าง จาก 3จังหวัดชายแดนภายใต้ กว่า 3,000 คน โดยนายกรัฐมนตรีได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยมีใจความว่า ตนมีความตั้งใจมานานแล้วที่จะมารับฟังคิดเห็นจากเยาวชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ โดยตนนั้นคิดว่า เยาวชนทุกคน คือคลื่นลูกใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่คลื่นลูกเก่าเช่นตนเอง และผู้ใหญ่ทุกคนที่มีหน้าที่แก้ไขปัญหาบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ ตนอยากเห็นคลื่นลูกใหม่ที่มีความรู้และคุณธรรมซึ่งจะมาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองต่อไป
พล.อ.สุรยุทธ์ ยังกล่าวต่อว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ปรับใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหาภาคใต้ ในฐานะที่ตนเป็นทหารเก่า ซึ่งพบเห็นการใช้ความรุนแรงจากประเทศเพื่อบ้านมาแล้วมากมายจึงคิดเห็นว่าวิธีการแก้ปัญหาแบบการใช้ความรุนแรงนั้นไม่มีความยั่งยืนและไม่สามารถสร้างสันติสุขได้
?ในโอกาสนี้อยากบอกนักศึกษาทุกคนว่าเราต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาบ้านเมือง ขณะนี้รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนการแก้ปัญหาโดยรื้อฟื้นศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ขึ้นมาใหม่และได้เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วม ซึ่งจากนี้ไปทุกคนจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา โดยการส่งความคิดเห็นต่างๆ เข้าไป ซึ่งต่อไปจะขยายหน่วยย่อยไปยังอำเภอ ตำบล ชุมชนหมู่บ้านและมัสยิด เรื่องการอำนวยความยุติธรรม หากเจ้าหน้าที่รัฐทำไม่ถูกไม่ควร ก็ต้องช่วยกันร้องเรียนมา ปัญหาต่างๆ จะถูกแก้ไขให้หมดไป? พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีโอกาสซักถาม โดยนักศึกษาคนหนึ่งถามว่า นักศึกษาหลายคนที่ถูกจับกุมคุมขังแต่ไม่มีหลักฐาน จะได้รับการยกฟ้องเหมือนคดีตากใบหรือไม่ นายกรัฐมนตรีตอบว่า หากคดีใดที่ไม่มีหลักฐานกล่าวโทษ ก็ต้องได้รับความยุติธรรมไปตามกระบวนการ ตนเองยังไม่มีข้อมูลเรื่องนี้แต่ถ้ามีข้อมูลก็จะนำไปพิจารณาให้และจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด
จากนั้นเวลา 13.00 น.พล.อ.สุรยุทธ์ ได้เดินทางไปยังโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ถ.สิโรรส เขตเทศบาลนครยะลา เพื่อไปพบปะพูดคุยกับนักเรียน ครูอุสตาซ ซึ่งพล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ต้องการให้สถาบันหรือโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเดินทางไปศึกษาดูงานยังต่างประเทศ เพื่อมาปรับใช้กับการจัดการเรียนการสอนซึ่งนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ซึ่งนายอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี เคยบอกกับตนเองว่า หากรัฐบาลไทยต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนี้ก็พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ได้เดินทางไปท่องเที่ยวยังจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อศึกษาเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยกล่าวว่า ประเทศไทยมี 76 จังหวัดมีพี่น้องมุสลิมอาศัยอยู่ทุกจังหวัด ซึ่งทุกคนไปเที่ยวได้ ตนเองส่งเสริมให้ทุกคนเดินทางไปเที่ยวที่โน่นที่นี่เพื่อรับประสบการณ์ใหม่ นอกจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้คณะครูและอุซตาสของโรงเรียนได้ซักถามและแสดงความคิดเห็น
โดยตัวแทนครูฝ่ายสามัญโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ กล่าวว่า สังคมภายนอกมองว่าโรงเรียนธรรมฯ เป็นแหล่งบ่มเพาะทางความคิด หลังเกิดเหตุกรือเซะ และมีศิษย์เก่าหลายคนไปเสียชีวิต และปัจจุบันคณะผู้บริหารและบุคลากร 90 % อยู่ในบัญชีดำของทางการ ซึ่งจะให้ทางโรงเรียนจัดการเรื่องความมั่นคงไปด้วยคงไม่ใช่เรื่องถนัด และเมื่อสัปดาห์ก่อน อุสตาซคนหนึ่งมาขอลาออก เพราะมีรถถังและยีเอ็มซีเดินทางเข้าไปตรวจค้นที่บ้านหลายครั้ง รวมทั้งเรื่องที่เด็กนักเรียนของโรงเรียนหลายคนที่ไปสอบสัมภาษณ์เพื่อศึกษาต่อและทำงาน กลับถูกตั้งคำถามเรื่องความมั่นคงแต่ไม่ถามเรื่องความรู้ความสามารถในการเรียน ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ตอบว่า เรื่องบัญชีดำนั้นขอให้เจ้าหน้าที่ยกเลิกบัญชี แล้วฉีกทิ้งไปได้เลยเอาไปเผาทิ้งได้แล้ว ส่วนเรื่องรถถังและยีเอ็มซีนั้นจะไม่ให้ไปบุกตรวจค้นบ้านอุสตาซแล้ว หากไปก็เป็นการเข้าไปพูดคุยมากกว่า และต่อไปขอให้ทางโรงเรียนเข้าไปพูดคุยแสดงความคิดเห็นต่างๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาร่วมกัน.
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์