<dd>?ปีศาจแดง? แมนฯยูไนเต็ด เปิดบ้านเฉือนหวิว ?ไก่เดือยทอง? สเปอร์ส 1-0 ไรอัน กิ๊กส์ ฮีโร่โหม่งประตูชัย เก็บ3แต้มนำฝูงต่อ ขณะที่ ?สิงโตน้ำเงินคราม? เชลซี ต้องออกแรงเหนื่อย กว่าจะเอาชนะ ชาร์ลตัน ไปได้ชนิดหืดจับ 2-1ส่วน เอฟเวอร์ตัน โชว์ฟอร์มสุดร้อนแรง เมื่อเปิดบ้านทำศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ถล่ม ?หงส์แดง? เละเทะ3-0 ส่วน ?ปืนใหญ่? อาร์เซน่อล ทำได้แค่เจ๊ากับ มิดเดิ้ลสโบรช์ 1-1ในศึกพรีเมียร์ชิพ อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา </dd>
<dd><b>แมนฯยูไนเต็ด 1 - สเปอร์ส 0</b></dd>
<dd>?ปีศาจแดง? แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดรังโอลด์ แทร๊ฟฟอร์ด ต้อนรับ ?ไก่เดือยทอง? สเปอร์ส งานนี้เจ้าถิ่นยังไม่มี เวย์น รูนี่ย์ และ พอล สโคลส์ ที่ติดโทษแบน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ดัน ไรอัน กิ๊กส์ ไปยืนหน้าคู่กับ หลุยส์ ซาฮา โดยมี ปาทริซ เอวร่า, คีแรน ริชาร์ดสัน ลงมาเป็นตัวจริง ส่วน ไมเคิ่ล คาร์ริก ได้ลงเจอทีมเก่าของตนเอง</dd>
<dd>ฝั่งทีมเยือนไม่มี ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ กองหน้าทีมชาติบัลแกเรียที่เจ็บงานนี้ มาร์ติน โยล เลือก อาเหม็ด ฮอสซัม มิโด้ ยืนหน้าคู่กับ ร็อบบี้ คีน โดย เจอร์เมน เดโฟ นั่งสำรอง ขณะที่ เล็ดลี่ย์ คิง หายเจ็บกลับมาเป็นตัวจริง เช่นเดียวกับ ฮอสซัม กาลี่ ที่เป็นตัวจริงนัดแรก ขณะที่ ปาสกาล ชิมบงด้า กองหลังที่ได้มาใหม่จาก วีแกน ก็ได้เป็นตัวจริงทันทีเช่นเดียวกัน</dd>
<dd>เป็นเจ้าถิ่นที่ขึ้นนำไปก่อน น.9 เมื่อได้ฟรีคิก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงผ่านกำแพงมารุนแรง พอล โรบินสัน ปัดออกมาเข้าทางของ ไรอัน กิ๊กส์ ที่วิ่งเข้าไปโหม่งซ้ำโดนคานกระแทกลงพื้นผ่านเส้นประตูเข้าไป แมนฯยูไนเต็ด นำ 1-0</dd>
<dd>ทีมตราไก่พยายามตั้งเกมสู้แต่ต่อเกมขึ้นไปก็โดน แมนฯยูไนเต็ด ตัดเอาไว้หมด น.21 ทีมเยือนมีโอกาสลุ้นทำประตูเมื่อ ร็อบบี้ คีน จ่ายให้ มิโด้ หลุดไปยิงในเขตโทษด้านซ้ายนแต่บอลหลุดกรอบออกไป</dd>
<dd>รูปเกมกลับมาสูสีกัน สเปอร์ส ครองบอลได้มากขึ้น แต่ก็แทบจะหาโอกาสยิงประตูไม่ได้ เช่นเดียวกับ แมนฯยูฯ ที่ไม่ค่อยมีจังหวะลุ้นเช่นเดียวกัน</dd>
<dd>ผ่านถึงครึ่งชั่วโมง แมนฯยูไนเต็ด ได้ลุ้นเมื่อ คีแรน ริชาร์ดสัน ได้บอลหน้าเขตแล้วพลิกตัวยิง แต่บอลหลุดกรอบออกไปอีก</dd>
<dd>น.37 สเปอร์ส พลาดโอกาสตีเสมอน่าเสียดายเมื่อ ดาวิดส์ ตักเข้าไปในเขตโทษด้านขวา ไมเคิ่ล ดอว์สัน วิ่งเข้าไปแปลูก แต่โดน เอ๊ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ปัดมาเข้าทางซ้ำของ เล็ดลี่ย์ คิง ก็โดนฟาน เดอร์ ซาร์ ปั้มออกมาอีก</dd>
<dd>5 นาทีต่อมา แมนฯยูฯ เกือบได้เม็ดที่ 2 เมื่อ ไรอัน กิ๊กส์ กึ่งยิงกึ่งผ่านไปหน้าประตูบอลเฉี่ยวเสาไปนิดเดียว หมดครึ่งแรก แมนฯยูฯ นำ 1-0</dd>
<dd>เปิดฉากครึ่งหลังสเปอร์สลุยทันที และหวิดได้เฮในนาทีที่ 53 เมื่อจีนาสแทงลูกออกกราบขวาให้ชิมบงด้าเติมไปโยนแล้วโดนโรนัลโด้ตามมาบล็อกทำให้บอลปลิ้นเกือบเสียบใต้คานอยู่แล้ว ดีที่ว่า ฟาน เดอร์ ซาร์ ไม่ได้ถลันออกมาไกล จึงกระโดดปัดให้พ้นคานได้อย่างน่าเสียวไส้</dd>
<dd>ผ่านมาอีกสี่นาที ไก่เดือยทองปล่อยเจอร์เมน เดโฟ กับ เรโต้ ซีคเลอร์ ลงไปกู้สถานการณ์แทนคีนกับดาวิดส์ แต่พริบตาเดียวฮอสซัม กาลี ก็ได้ใบเหลืองจากจังหวะทำฟาวล์ใส่ ปาทริซ เอวร่า อย่างน่าเกลียด แถม อาเหม็ด ออสซัม มิโด้ เข้าโต้เถียงผู้ตัดสินจึงได้ใบเหลืองเช่นกัน</dd>
<dd>จังหวะลุกเตะมุมต่อมา จีนัส โยนมาให้ ไมเคิล ดอว์สัน เติมขึ้นมาโขกเต็มหัว แต่บอลก็ข้ามคานไป </dd>
<dd>อีก 5 นาทีถัดมา โยล ตัดสินใจเติมเกมรุกโดยส่ง เจอร์เมน เดโฟ กับ เรโต้ ซีกเลอร์ ลงมาแทนร็อบบี้ คีน กับ เอ็ดการ์ ดาวิดส์ </dd>
<dd>รูปเกมเป็นไปอย่างสูสี นาทีที่ 64 หลุยส์ ซาฮา ฉีกตัวออกไปเอาบอลทางฝั่งขวาก่อนที่จะเปิดเรียดเข้ากลาง เล็ดลีย์ คิง สกัดบอลออกมาได้แต่ว่าไปเข้าทาง โรนัลโด้ ที่แต่งบอลแบบเน้นๆก่อนที่ซัดข้ามคาน</dd>
<dd>ถัดมาอีก 3 นาทีเป็นโอกาสของทีมเยือนบ้างเมื่อ อัสซู เอก็อตโต้ ชิพมาให้ เดโฟ วิ่งสอดขึ้นโขกคนเดียวแบบไร้ตัวประกบ แต่โดนไม่ดีบอลเลยข้ามคานไปอีกครั้ง </dd>
<dd>จากนั้นทั้งสองทีมผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสนุก แต่ก็ทำได้เพียงแค่จังหวะหวาดเสียวเท่านั้น ทำให้จบเกม แมนฯ ยูไนเต็ด เฉือนเอาชนะ สเปอร์สไปได้ 1-0 รั้งตำแหน่งจ่าฝูงต่อไป </dd>
<dd><b>รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม</b></dd>
<dd><b>แมนฯยูไนเต็ด</b> : เอ๊ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์, แกรี่ เนวิลล์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เวส บราวน์, ปาทริซ เอวร่า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ไมเคิ่ล คาร์ริก, จอห์น โอเชีย, คีแรน ริชาร์ดสัน, ไรอัน กิ๊กส์, หลุยส์ ซาฮา</dd>
<dd><b>สำรอง </b>: โทมัส คูสแซ็ค, ปาร์ก ชี-ซอง, โอเล่ กุนนาร์ โซลชา, ดาร์เรน เฟลตเชอร์, มิกกาแอล ซิลแวสต์</dd>
<dd><b>สเปอร์ส</b> : พอล โรบินสัน, ปาสกาล ชิมบงด้า, ไมเคิ่ล ดอว์สัน, เล็ดลี่ย์ คิง, เบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต้, เจอร์เมน จีนาส, ดีดิเย่ร์ โซโกร่า, เอ๊ดการ์ ดาวิดส์, ฮอสซัม กาลี่, ร็อบบี้ คีน, มิโด้</dd>
<dd><b>สำรอง</b> : ราเด็ค แซร์นี่, แดนนี่ เมอร์ฟี่, เรโต้ ซีกเลอร์, เจอร์เมน เดโฟ, ทอม ฮัดเดิ้ลสโตน</dd>
<dd><b>เชลซี 2 - ชาร์ลตัน แอธเลติก 1</b></dd>
<dd>?สิงโตน้ำเงินคราม? เชลซี แชมป์เก่า เปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต้อนรับ ?ดาบอัศวิน? ชาร์ลตัน แอธเลติก เป็น ลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ งานนี้ โชเซ่ มูรินโญ่ ให้ แอชลี่ย์ โคล แบ๊กซ้ายทีมชาติอังกฤษที่เพิ่งได้มาใหม่นั่งสำรองไปก่อน โดยทีมไม่มีชื่อของ โคล้ด มาเกเลเล่ ขณะที่ ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง</dd>
<dd>ฝั่งทีมเยือน เอียน ดาววี่ เลือก สก๊อตต์ คาร์สัน เป็นโกล์ตัวจริงในนัดนี้ โดยแดนหลัง ซูเลย์มาเน่ ดิยาวาร่า ก็ได้เป็นตัวจริงเช่นเดียวกัน ขณะที่คู่หน้ายังคงเป็น จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ และ ดาร์เรน เบนท์ เหมือนเดิม</dd>
<dd>ออกสตาร์ตไปได้แค่ 5 นาทีเจ้าถิ่นก็ได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากลูกเตะมุมที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เปิดเข้าไปให้ มิคาเอล เอสเซียง พุ่งโหม่ง ไบรอัน ฮิวจ์ส แปออกมาเข้าทางปืนของ ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา ที่ยิงสวนเข้าไปเสียบมุมตุงตาข่ายเด็ดขาด เชลซี นำ 1-0</dd>
<dd>น.11 เชลซี เกือบได้ประตูที่ 2 จากการได้ยิงแปเน้นๆระยะ 18 หลาของ ดร็อกบา เจ้าเก่า สก๊อตต์ คาร์สัน ล้มตัวเซฟบอลกระฉอกก่อนจะตะครุบเอาไว้ได้</dd>
<dd>เชลซี ยังคุมเกมเอาไว้ได้ดีกว่า ผ่านถึงกลางครึ่งแรกมีลุ้นจากชอตที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ตั้งป้อมยิงไกลตามถนัดบอลเฉี่ยวเสาออกไปนิดเดียว</dd>
<dd>ชาร์ลตัน เกือบตีเสมอได้ น.25 เมื่อ เดนนิส รอมเมดาห์ล ตักให้ ดาร์เรน เบนท์ โหม่งกดลงพื้นเฉี่ยวกรอบออกไปนิดเดียว และหลังจากนั้นไม่ถึง 2 นาที แลมพาร์ด จ่ายให้ ดร็อกบา ยิงเหน่งๆ แต่เหลือเชื่อที่ซัดไม่เข้ากรอบ</dd>
<dd>ผ่านครึ่งชั่วโมงไปไม่นาน เชลซี พลาดโอกาสได้ประตูที่ 2 เมื่อ ไรท์-ฟิลลิปส์ เปิดจากขวาให้ ริคกี้ คาร์วัลโญ่ วิ่งเข้ามาอัดเต็มๆข้ามคานออกไป</dd>
<dd>มิชาเอล บัลลัค พลาดโอกาสที่จะทำประตูแรกให้ เชลซี ไปน่าเสียดาย เมื่อได้บอลแล้วยิงด้วยซ้ายจากระยะ 25 หลา บอลพุ่งเฉี่ยวเสาออกไปนิดเดียวเท่านั้น</dd>
<dd>หลังจากนั้น เชลซี ยังบุกได้มากกว่าชัดเจน แต่ไม่สามารถทำอะไรเพิ่มได้ หมดครี่งแรกสกอร์อยู่ที่ เชลซี นำ 1-0</dd>
<dd>ครึ่งหลัง เชลซี ได้ลุ้นก่อนหลังจากต่อบอลกันมาสวย ใน น.50 ก่อนที่ มิชาเอล เอสเซียง จะจ่ายให้ ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา ยิงเหน่งๆ 20 หลา แต่ตรงตัว สก๊อตต์ คาร์สัน แต่แล้วเป็น ชาร์ลตัน ที่ตีเสมอได้เฉย น.54 เมื่อ เดนนิส รอมเมดาห์ล พาบอลไปทางขวา ก่อนจะผ่านเข้ากลางให้ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ ปั้มบอลชนะกองหลังเจ้าถิ่น ก่อนจะล้มตัวยิงด้วยอีซ้ายบอลพุ่งผ่าน ปีเตอร์ เชก ตุงตาข่าย สกอร์เปลี่ยนเป็น 1-1</dd>
<dd>หลังจากนั้น 4 นาที ริคกี้ คาร์วัลโญ่ ต้องได้รับใบเหลืองเมื่อไปดับเครื่องชน ออมดี้ เฟย์ ในจังหวะโต้กลับ ผ่านถึง 1 ชั่วโมงเศษ โชเซ่ มูรินโญ่ ส่ง แอชลี่ย์ โคล ลงไปเล่นแทน เวย์น บริดจ์ และเมื่อถึง น.63 เจ้าบ้านก็ได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งเมื่อได้เตะมุม แลมพาร์ด โยนให้ คาร์วัลโญ่ โหม่งเต็มๆแฉลบ ออมดี้ เฟย์ ตุงตาข่าย เชลซี นำ 2-1</dd>
<dd>น.71 เชลซี ได้ลุ้นจากการตั้งป้อมยิงนอกเขตโทษของ มิชาเอล เอสเซียง แต่หลุดกรอบออกไปพอสมควร ต่อมาไม่นาน มาร์คัส เบนท์ กองหน้าตัวสำรองของ ชาร์ลตัน ได้กลับตัวยิงในเขตตุงตาข่าย แต่ผู้ตัดสินไม่ให้เพราะมองว่า มาร์คัส เบนท์ แฮนด์บอลไปก่อน</dd>
<dd>ทางฝั่ง เชลซี ได้ลุ้นเม็ดที่ 3 น.74 เมื่อ ดร็อกบา ไหลให้ คาลู พลิกตัวยิงในเขตโทษ แต่ตรงตัวของ สก๊อตต์ คาร์สัน ที่รับไม่ยาก น.83 เชลซี พลาดประตูที่ 3 ไปไม่น่าเชื่อเมื่อได้จุดโทษจากชอตที่ เอล คาร์คูลี่ ไปผลัก คาลู ล้มในเขตเป็นจุดโทษที่ แลมพาร์ด รับหน้าที่ยิง แต่ สก๊อตต์ คาร์สัน พุ่งปัดไว้ได้</dd>
<dd>จากนั้น เชลซี พยายามบุกเพื่อจะเอาประตูที่ 3 ให้ได้ แต่ไม่สำเร็จ จบเกม เชลซี ชนะแค่ 2-1 เก็บ 3 แต้มเต็มได้ตามคาด</dd>
<dd><b>รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม</b></dd>
<dd><b>เชลซี </b>: ปีเตอร์ เชก, คาลิด บูลาห์รูซ, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, จอห์น เทอร์รี่, เวย์น บริดจ์, มิชาเอล เอสเซียง, มิชาเอล บัลลัค, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, อังเดร เชฟเชนโก้, ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา </dd>
<dd><b>ชาร์ลตัน</b> : สก๊อตต์ คาร์สัน, ลุค ยัง, ทาลาล เอล คาร์คูรี่, ซูเลย์มาเน่ ดิยาวาร่า, ฌิมี่ ตราโอเร่, ดาร์เรน อัมโบรส, ออมดี้ เฟย์, ไบรอัน ฮิวจ์ส, แอนดี้ รีด, จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์, ดาร์เรน เบนท์ </dd>
<dd><b>เอฟเวอร์ตัน 3 - ลิเวอร์พูล 0</b></dd>
<dd>เอฟเวอร์ตัน ถล่ม ลิเวอร์พูล ไปได้ 3-0 ในการทำศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ โดย ทิม เคฮิลล์ ประเดิมลูกแรก ก่อนที่ แอนดี้ จอห์นสัน กองหน้าความเร็วสูง จะมากดคนเดียว 2 ประตูให้ ?ทอฟฟี่สีน้ำเงิน? ถล่มทีมคู่อริตลอดกาลขาดลอย </dd>
<dd>เอฟเวอร์ตันใช้ แอนดี้ จอห์นสัน ลงเป็นกองหน้าคนเดียว มีทิม เคฮิลล์ กับ มิเกล อาร์เตต้า ลงทำเกมในแดนกลาง ส่วน ลิเวอร์พูลใช้ ปีเตอร์ เคร้าช์ กองหน้าฟอร์มแรงคู่กับ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กองหน้าจอมเก๋า</dd>
<dd>เปิดเกมมา ลิเวอร์พูล ทำเกมบุกได้ดีกว่า นาทีที่ 14 สตีเว่น เจอร์ราด เปิดบอลเข้ามาจากริมเส้นด้านขวา ปีเตอร์ เคร้าช์ ได้โอกาสยิง แต่ว่าบอลหลุดกรอบไป ถัดมาอีก 2 นาที หลุยส์ การ์เซีย เลี้ยงบอลเจาะเข้ามาทางกรอบเขตโทษด้านซ้าย กำลังจะง้างเท้ายิง แต่ทิม โฮเวิร์ด นายทวารเจ้าถิ่นยังบล็อกได้ทัน</dd>
<dd>เอฟเวอร์ตัน ตั้งเกมรับและพยายามโต้กลับไว และก็เป็นผลในนาทีที่ 24 เมื่อแอนดี้ จอห์นสัน ไหลบอลออกทางขวาให้ ฮิบเบิร์ต ชิพบอลเข้ากรอบเขตโทษ ลี คาร์สลี่ย์ โหม่งชงเข้ากลาง ออสแมน วิ่งเข้าเบียด สตีฟ ฟินแนน ล้มลง ผู้ตัดสินไม่ว่าอะไร ทิม เคฮิลล์ เลยได้ซัดโล่งๆ ลอดขา เรน่า เข้าไป เป็นอันว่า เอฟเวอร์ตันนำ 1-0</dd>
<dd>ลิเวอร์พูล เดินเกมบุกหวังเอาคืน และก็น่าได้ประตูที่สุด ในนาทีที่ 31 เมื่อ หลุยส์ การ์เซีย ลากบอลตัดเข้ากรอบเขตโทษด้านขวา แล้วยิงด้วยซ้ายข้างถนัด โฮเวิร์ด ปัดบอลเข้าทาง เจอร์ราด ผวาสไลด์บอลสุดเหยียด บอลดันไปกระแทกเสาออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย</dd>
<dd>เกมยังคงสนุก หลังจากนั้น 5 นาที เอฟเวอร์ตันก็ได้ประตูที่สอง เมื่อลี คาร์สลี่ย์ จ่ายบอลให้ จอห์นสัน ในกรอบเขตโทษ ฮูเปียเข้ามาบังแต่โดน เอเจ วิ่งแซง และ คาร์ราเกอร์ มาสกัดบอลพลาด จอห์นสันซัดเข้าทางเสาแรกนิ่มๆ เอฟเวอร์ตันนำ 2-0 </dd>
<dd>หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล พยายามเปิดเกมรุกอย่างหนัก แต่ก็ทำอะไรเจ้าถิ่นไม่ได้ จบครึ่งแรก เอฟเวอร์ตันนำ 2-0</dd>
<dd>เริ่มครึ่งหลังได้ 5 นาที ลิเวอร์พูลได้ลุ้นก่อน จากจังหวะที่ ออเรลิโอ ทุ่มไกลเข้ามา และฟาวเลอร์ ขึ้นโหม่ง แต่บอลเบาไป ทิม โฮเวิร์ด รับสบาย นาทีที่ 54 เดียร์ค ไคท์ เข้าไปอัด แกรี่ เนย์สมิธ จนเกือบจะมีเรื่องกัน ดีที่เกรแฮม โพลล์ ผู้ตัดสินยังห้ามทัพไว้ทัน</dd>
<dd>หงส์แดง ยังเปิดเกมบุกอย่างหนักหวังทวงประตูคืน ถัดมาอีก 2 นาที เจอร์ราด ตวัดบอลเร็วให้การ์เซีย หลุดกับดักล้ำหน้า ขึ้นไปชิพบอล แต่ไม่ผ่าน โฮเวิร์ด ที่ออกมาได้ไว และ ลิเวอร์พูลก็เปลี่ยนเอา รีเซ่ เข้ามาแทน ฟาวเลอร์ทันที</dd>
<dd>นาที 65 อลองโซ่ เก็บบอลแถวสองได้ ก่อนตักให้เจอร์ราดหลุดไปทางกรอบเขตโทษด้านขวา ก่อนที่จะซัดหลุดกรอบไปนิดเดียว ชวดได้ประตูอย่างน่าเสียดาย</dd>
<dd>ลิเวอร์พูลมีโอกาสใกล้เคียงที่จะได้ประตูที่สุดในอีก 10 นาทีถัดมา เมื่อ ซิสโซโก้ ไหลบอลให้ ฮูเปีย จ่ายต่อให้ เจอร์ราดหลุดไปทางขวา แต่กัปตันทีม ?หงส์แดง? สไลด์ตัวยิงชนเสาอีกรอบ ลูกเด้งเข้าทางไคท์ ยิงไปติด ฮิบเบิร์ต ออกหลังไปอีก ซึ่ง ผู้เล่น ลิเวอร์พูล พยายามฟ้องว่าเป็นแฮนด์บอล ซึ่งจากภาพช้าลูกไปชนแขนกองหลัง ?ทอฟฟี่เมน? จริงๆ</dd>
<dd>อีก 2 นาทีต่อมา ราฟาเอล เบนิเตซ แก้เกมอีกหน เอา เจอร์เมน เพนแนนท์ ลงเล่นแทน โมฮัมเหม็ด ซิสโซโก้ แต่ว่าอีกไม่กี่อึดใจก็ต้องพบข่าวร้ายเมื่อ รีเซ่ โหม่งบอลพลาด เคฮิลล์ ฉกบอลได้ ก่อนกระชากบอลขึ้นหน้าเตรียมโต้กลับ รีเซ่ วิ่งเข้ามาตัดบอล หัวเข่าไปกระแทกกับกองกลางเลือดออสซี่ รีเซ่ เล่นต่อไม่ไหว ลิเวอร์พูลต้องเล่นแค่ 10 คนในช่วงเวลาที่เหลือแถมแบ๊กนอร์เวย์โดนใบเหลืองเป็นของแถมอีก </dd>
<dd>ถัดมา 3 นาที เอฟเวอร์ตันเกือบได้ประตูตอกฝาโลง เมื่อกองหลังลิเวอร์พูลสกัดบอลอิอกมาเข้าทาง เนย์สมิธ ซัดด้วยซ้ายข้างถนัด จังหวะแรกติดคาราเกอร์ แต่บอลมาเข้าทางอีกที เจ้าตัวกลับยิงข้ามคานออกไป</dd>
<dd>ท้ายเกม เอฟเวอร์ตัน เปลี่ยนเอา อาร์เตต้า ออกและเอา นูโน่ วาเลนเต้ กองหลังทีมชาติโปรตุเกสลงมาเสริมเกมรับ </dd>
<dd>นาทีสุดท้าย สาวกเอฟเวอร์ตันได้เฮแบบสุดเสียง เมื่อ ลีคาร์สลี่ย์ ได้จังหวะซัดเต็มข้อนอกเขตโทษ โชเซ่ เรน่า ผวาปัดบอลขึ้นกลางอากาศ แอนดี้ จอห์นสัน เข้าไปกดดัน ทำให้ผู้รักษาประตูทีมชาติสเปนออกลูกเฟอะฟะ ปัดบอลจังหวะสองจะให้ข้ามคาน แต่บอลไม่ไปตาม แถมตัวหลุดเข้าไปในประตู เอเจ เลยโหม่งเข้าไปง่ายๆ เป็นประตูปิดท้ายให้ เอฟเวอร์ตันเอาชนะไปแบบถล่มทลาย 3-0 ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงชั่วคราว</dd>
<dd><b>รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม</b></dd>
<dd><b>เอฟเวอร์ตัน</b> : ทิม โฮเวิร์ด, โทนี่ ฮิบเบิร์ต, โจเซฟ โยโบ, โจลีออน เลสคอตต์, แกรี่ เนย์สมิธ, ลีออน ออสมัน, ฟิล เนวิลล์, ลี คาร์สลี่ย์, มิเกล อาร์เตต้า, ทิม เคฮิลล์, แอนดี้ จอห์นสัน</dd>
<dd><b>ลิเวอร์พูล</b> : โชเซ่ เรน่า, สตีฟ ฟินแนน, เจมี่ คาร์ราเกอร์, ซามี่ ฮูเปีย, ฟาบิโอ ออเรลิโอ, สตีเว่น เจอร์ราด, ซาบี้ อลองโซ่, โมฮัมเหม็ด ซิสโซโก้, หลุยส์ การ์เซีย, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, ปีเตอร์ เคร้าช์</dd>
<dd><b>สรุปผลการแข่งขันในคู่อื่น ๆ</b></dd>
<dd>อาร์เซน่อล เสมอ มิดเดิ้ลสโบรช์ 1-1</dd>
<dd>โบลตัน ชนะ วัตฟอร์ด 1-0</dd>
<dd>เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เสมอ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 0-0</dd>
<dd>นิวคาสเซิ่ล แพ้ ฟูแล่ม 1-2</dd>
<dd>ปอร์ทสมัธ ชนะ วีแกน แอธเลติก 1-0</dd>
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์