?ขุนพลอัซซูรี่? ทีมชาติอิตาลี แชมป์โลก 3 สมัย ทะลุเข้าไปรอชิงชนะเลิศได้เป็นทีมแรกเรียบร้อยแล้ว เมื่อจัดการโค่น ?เจ้าภาพ? เยอรมัน ในช่วงต่อเวลาพิเศษสุดมันส์ 2-0 หลังดวลแข้งในเวลาปกติทำอะไรกันไม่ได้ โดยได้ประตูจาก ฟาบิโอ กรอสโซ่ น.119 และ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ น.120 ส่งให้ เจ้าภาพต้องสิ้นสุดเส้นทางฟุตบอลโลกไว้เพียงเท่านี้ ส่วน อิตาลี เข้าไปรอชิงชนะเลิศกับผู้ชนะระหว่าง ฝรั่งเศส กับ โปรตุเกส ต่อไป
<dd><b>การแข่งขันฟุตบอลโลก 2006</b>
<dd><b>วันอังคารที่ 4 ก.ค. 2549</b>
<dd><b>รอบรองชนะเลิศ (4 ทีมสุดท้าย)</b>
<dd><b>เยอรมัน 0 - อิตาลี 0</b>
<dd><b>ต่อเวลาพิเศษ อิตาลี ชนะ 2-0)</b>
<dd><b>สนาม</b> : เวสต์ฟาเล่น สเตเดี้ยม
<dd><b>เมือง</b>: ดอร์ทมุนด์ ประเทศ : เยอรมัน
<dd><b>ผู้ทำประตู</b>: ฟาบิโอ กรอสโซ่ (อิตาลี) น.119, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ (อิตาลี) น.120
<dd><b>ใบเหลือง</b> :ทิม โบรอฟสกี้ (เยอรมัน) น.40, คริสโตฟ เมตเซลเดอร์ (เยอรมัน) น.56, เมาโร คาโมราเนซี่ (อิตาลี) น.90
<dd><b>ใบแดง </b>: -
<dd><b>แมน ออฟ เดอะ แมตช์</b> : อันเดรีย ปีร์โล่ (อิตาลี)
<dd>เยอรมัน เจ้าภาพเผชิญหน้ากับอิตาลี แชมป์ 3 สมัยฟุตบอลโลกในรอบรองชนะเลิศ ที่สนามเวสต์ฟาเล่น สเตเดี้ยม เมืองดอร์ทมุนด์ โดยในเกมนี้ ทีมเบียร์ได้ มิชาเอล บัลลัค กองกลางจอมทัพ และ มิโรสลาฟ โคลเซ่ ดาวยิงตัวเก่งฟิตพร้อมลงสนามได้ตามปกติ แต่ต้องไร้ ทอร์สเท่น ฟริงก์ส มิดฟิลด์ตัวเก่งที่โดนแบน 1 นัด หลังจากไปชกฮูลิโอ ครูซ หลังเกมรอบก่อนรองชนะเลิศกับอาร์เจนตินาที่ผ่านมา เกมนี้ เซบาสเตียน เคห์ล จึงได้ลงสนามแทน ส่วนคู่หน้าก็ยังเป็นสองหัวหอกมหากาฬอย่าง มิโรสลาฟ และ ลูคัส โพดอลสกี้
<dd>ขณะที่อิตาลียังยึดระบบ 4-4-1-1 และใช้ผู้เล่นชุดที่ถล่มยูเครนในนัดก่อนลงสนามครบครันเว้นแนวรับที่ให้ มาร์โก มาเตรัซซี่ ที่พ้นแบนกลับมายืนเป็นเซนเตอร์คู่กับฟาบิโอ คันนาวาโร่ ตามเดิม แดนหน้าวาง ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ประสานงานกับ ลูกา โทนี่
<dd>เริ่มเกมมาได้แค่ 3 นาที อิตาลีทักทายอย่างน่าหวาดเสียว เมื่อ ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ สังหารฟรีคิกระยะกว่า 25 หลา แต่ เยนส์ เลห์มันน์ นายทวารเมืองเบียร์ยังรับไว้ได้
<dd>จากนั้นฝั่งอิตาลีครองบอลมากกว่า แต่ยังเข้าทำได้ไม่ถนัดนัก นาทีที่ 14 เยอรมันมีโอกาสที่จะได้ประตูเหมือนกัน เมื่อบัลลัค พยายามโหม่งชงมาหน้าประตูให้เพื่อน แต่ฟาบิโอ คันนาวาโร่ กองหลังเลี่ยนยังสกัดทิ้งไว้ได้
<dd>นาทีต่อมา ต๊อตติลงไปล้วงบอลถึงในแดนตัวเอง ก่อนลากขึ้นมาจากกลางสนาม แล้วตัดสินใจวางยาวไปให้ซิโมเน่ แปร์ร็อตต้า กองกลางจากโรม่าหลุดเดี่ยวไปในเขตโทษ แต่ทว่ายิงไปติดเซฟของเลห์มันน์ ที่ออกมาตัดบอลได้ทันท่วงที
<dd>ถัดมานาทีที่ 20 เจ้าบ้านมีลุ้น จากจังหวะที่ฟิลิปป์ ลาห์ม พาบอลลากขึ้นมาทางฝั่งซ้าย ก่อนเปิดให้ลูคัส โพดอลสกี้ วอลเลย์แบบไม่จับ แต่ออกหลังข้ามคานไปอย่างน่าผิดหวัง
<dd>จากนั้น ฝั่งอัซซูรี่ ทำเกมบุกได้น่ากลัวกว่าเยอะ นาทีที่ 31 ฟาบิโอ กรอสโซ่ พาบอลขึ้นมาอย่างสวยทางกราบซ้าย ก่อนเปิดตัดเข้ากลางหวังให้ โทนี่ ชาร์จที่จุดนัดพบ แต่คริสโตฟ เมตเซลเดอร์ เซนเตอร์แบ็กของเยอรมันยังช่วยสกัดไว้ได้
<dd>แต่ขณะที่บุกเพลินๆ อิตาลีเกือบเสียประตูในนาทีที่ 34 เมื่อโคลเซ่ ฉกบอลได้จากกลางสนามก่อนแทงมาให้โพดอลสกี้ไหลต่อให้ แบร์นด์ ชไนเดอร์ หลุดขึ้นมาโล่งๆ ทางฝั่งขวาของเขตโทษ แล้วตัดสินใจสับไกยิงเองทันที ทว่าส่งบอลหลุดออกหลังไปนิดเดียวเท่านั้น
<dd>จากนั้นทั้งสองทีมผลัดกันบุกอย่างสนุก แต่ก็ยังไม่มีแนวรับของฝั่งใดทำผิดพลาด จบ 45 นาทีแรก ทั้งสองทีมจึงยังเสมอกันอยู่ 0-0
<dd>ครึ่งหลัง เจ้าภาพเมืองเบียร์เป็นฝ่ายทำเกมบุกอย่างดุดันเข้าใส่ทันที นาทีที่ 49 โคลเซ่ ฝ่าดงแนวรับของอิตาลี เข้าไปในเขตโทษ แต่โดนบุฟฟ่อน ออกมาบล็อกเร็ว รอดพ้นจากการเสียประตูหวุดหวิด อิตาลีมีลุ้นจากลูกเตะมุม แต่เปิดเข้ามาครั้งใด ก็ไม่เคยผ่านมือ เลห์มันน์เลย ถัดมานาทีที่ 59 ต๊อตติ เปิดบอลไปให้ โทนี่ แต่นายทวารเยอรมันก็รู้ทันตัดออกไปได้ก่อนอีกครั้ง
<dd>นาทีที่ 61 เยอรมันต่อบอลกันสวย แบร์นด์ ชไนเดอร์ พาบอลขึ้นมาทางขวาก่อนแทงให้โพดอลสกี้ พลิกยิงในเขตโทษ จังหวะแรกโดนบุฟฟ่อนปัดออกมา เข้าทาง ฟรีดิช ซ้ำโล่งๆ แต่ส่งบอลข้ามคานไป
<dd>เยอรมันยิ่งเล่นยิ่งดี แต่แนวรับของอิตาลียังไม่พลาด ทำงานกันได้เหนียวแน่น ถัดมานาทีที่ 72 เจ้าภาพต้องปรับเปลี่ยนผู้เล่น ส่งบาสเตียน ชไวน์สไตน์เกอร์ ลงมาแทนที่ทิม โบรอฟสกี้
<dd>ส่วนอิตาลี ก็ถอดโทนี่ ที่เล่นไม่ออก แล้วส่ง อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ หัวหอกดาวรุ่งที่จะได้ฉลองวันเกิดอายุครบ 24 ปี ในวันรุ่งขึ้นลงสนามมาแทนในนาทีที่ 74
<dd>นาทีต่อมา ซามบร๊อตต้า เปิดจากฝั่งขวา เข้ามาหน้าประตู แต่เซบาสเตียน เคห์ล กองกลางเยอรมันสกัดออกหลังไปได้ จากนั้นทั้งสองทีมยังทำเกมกันอย่างสูสี แต่ไม่มีทีมใดพังประตูกันได้ จบ 90 นาที เยอรมัน เสมอกับอิตาลีไปแบบไร้สกอร์ 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไป
<dd>เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ อิตาลีส่ง วินเชนโซ่ ยากวินต้า ลงมาแทนที่ คาโมราเนซี่ และเพียงนาทีแรกของการต่อเวลา อิตาลีก็เกือบได้ประตูนำ เมื่อจิลาร์ดิโน่ ลากบอลไปถึงเส้นหลัง พยายามสลัดหนีการประกบของบัลลัค แล้วสับไกยิงจ่อๆ แต่บอลไปติดเลห์มันน์ ก่อนเด้งไปชนเสาแล้วเลยออกไปไม่มีใครซ้ำ
<dd>อึดใจต่อมา ซามบร๊อตต้า สอดขึ้นมาได้ซัดจากกรอบเขตโทษ ส่งบอลชนคานอย่างจัง จากนั้นเยอรมันพยายามบุกบ้าง นาทีที่ 96 ชไวน์สไตเกอร์ ได้เปิดเข้ามา แต่โดนกองหลังเลี่ยนสกัดออกไป
จากนั้น อิตาลีส่งอเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ลงมาแทนแปร์ร็อตต้าในนาทีที่ 103 แต่เกมก็ยังไม่ดีขึ้น และเกือบโดนเบียร์เจาะประตูในนาทีที่ 105 เมื่อโอดอนคอร์เปิดบอลจากฝั่งขวามาให้โพดอลสกี้โขกหลุดกรอบออกไป
<dd>ทั้งคู่ยังคงเปิดเกมบุกใส่กันอย่างหนัก จนนาทีที่ 119 ฟาบิโอ กรอสโซ่ ได้จังหวะสับไกลูกไหลผ่านของ อันเดรีย ปีร์โล่ บอลโค้งผ่านมือ เยนส์ เลห์มันน์ ตุงตาข่ายอย่างสุดสวย
<dd>นาทีที่ 120 เยอรมัน บุกไปถึงหน้าประตู อิตาลี แต่ถูกตัดบอลได้โดย ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ก่อน จะเปิดให้ กรอสโซ่ ทำชิ่งเร็วกับ เดล ปิเอโร่ หลุดขึ้นไปเดี่ยวๆกับ เลห์มันน์ ก่อนจะปั่นโค้ง หนีมือส่งบอลซุกตาข่าย ให้ทีมนำ 2-0 อย่างรวดเร็ว จากนั้นกรรมการเป่านกหวีดจบการแข่งขัน อิตาลี ชนะ เยอรมัน 2-0 ผ่านเข้าไปรอชิงชนะเลิศได้เป็นผลสำเร็จ
<dd><b>รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม </b>
<dd><b>เยอรมัน</b> : เยนส์ เลห์มันน์, อาร์เน่ ฟรีดริช, เพอร์ แมร์เตซัคเกอร์, คริสโตฟ เมตเซลเดอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม, แบร์นด์ ชไนเดอร์, มิชาเอล บัลลัค, เซบาสเตียน เคห์ล, ทิม โบรอฟสกี้, ลูคัส โพดอลสกี้, มิโรสลาฟ โคลเซ่
<dd><b>สำรอง</b> : โอลิเวอร์ คาห์น, ติโม ฮิลเดบรันด์, มาร์แซลล์ แยนเซ่น, โรเบิร์ต ฮูธ, เยนส์ โนวอตนี่, โธมัส ฮิตเซิ่ลสแปร์เกอร์, ดาวิด โอดอนคอร์, ไมค์ ฮานเค่, เกราลด์ อซาโมอาห์, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, โอลิเวอร์ นอยวิลล์
<dd><b>อิตาลี </b>: จานลุยจิ บุฟฟ่อน, จานลูก้า ซามบร็อตต้า, ฟาบิโอ คันนาวาโร่, มาร์โก มาเตรัซซี่, ฟาบิโอ กรอสโซ่, เมาโร คาโมราเนซี่, เจนนาโร่ กัตตูโซ่, อันเดรีย ปีร์โล่, ซิโมเน่ แปร์ร็อตต้า, ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ, ลูก้า โทนี่
<dd><b>สำรอง </b>: อันเจโล เปรุซซี่, มาร์โก อเมเลีย, ซิโมเน่ บารอเน่,วินเชนโซ่ ยาควินต้า, ฟิลิปโป้ อินซากี้, อเลสซานโดร เนสต้า, มัสซิโม อ็อดโด้, ฟิลิปโป้ อินซากี้, อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่, อันเดรีย บาร์ซาญี่, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์