กลุ่มรักษ์เมืองไทยชี้จุดอ่อนรัฐจัดงบฯปี”53 ให้ความสำคัญการจ้างงานน้อยเกินไป ตั้งข้อสังเกตรายจ่ายประจำเพิ่มเกินจำเป็น เสนอลดค่าใช้จ่ายบุคลากร ดึงเงินพัฒนาจังหวัด พร้อมจูงใจ อปท.ช่วยกันเงินเน้นจ้างงานทั่วประเทศ คาดจะมีเงินทุ่มลงไปนับแสนล้าน
เมื่อวันที่ 7 เมษายน กลุ่มรักษ์เมืองไทย มีการประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ โดย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกลุ่ม กล่าวว่า ประเด็นที่สมาชิกให้ความเป็นห่วงมากที่สุด คือ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในระยะต่อจากนี้ แม้ว่าฐานะทางการคลังของประเทศยังแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับการขาดดุลในปีงบประมาณ 2553 ได้ถึง 3.9 แสนล้านบาท เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ในปีงบประมาณ 2553 มีการตั้งรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นจาก 72.3% ในปีงบประมาณ 2552 เป็น 76.7% ขณะที่รายจ่ายลงทุนกลับลดลงจาก 22% ในปีงบประมาณ 2552 มาอยู่ที่ 20% ซึ่งเห็นว่าน่าจะเป็นแนวทางที่ไม่ก้าวหน้า
ขณะเดียวกัน ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า วงเงินที่จัดสรรตามนโยบายรัฐบาลที่กำหนดไว้ 396,514 ล้านบาท แบ่งเป็นงบฯสร้างงานที่ชัดเจน พบว่าภาคขนส่งและการบริหารจัดการน้ำในวงเงินเพียง 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย ดังนั้น เพื่อให้มีงบประมาณในการสร้างงานมากขึ้น รัฐบาลน่าจะลดรายจ่ายประจำที่เพิ่มมากเกินจำเป็นและนำมาใช้ในการสร้างงานมากขึ้น
ทั้งนี้ แนวทางที่เป็นไปได้ คือการลดค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ในปีงบประมาณ 2553 ตั้งงบฯเพิ่มขึ้นจากงบฯปี 2552 ประมาณ 7.1% คิดเป็นวงเงิน 49,060 ล้านบาท ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ หากปรับขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ 7% ในปีที่เงินเฟ้อสูงขึ้น 3-4% ก็คงไม่เป็นไร แต่ปัจจุบันเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 1% และอาจติดลบบางส่วน ดังนั้น การปรับขึ้นเงินเดือน 7% จึงน่าจะสูงเกินไป ดังนั้น รัฐบาลอาจจะขึ้นเงินเดือนเพียง 4% ก็น่าจะเพียงพอกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณเหลือเพื่อนำไปใช้ในการสร้างงานได้อีก 21,420 ล้านบาท
“เราเห็นว่างบประมาณปี 2553 มีจุดอ่อนเรื่องของการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำที่เพิ่มขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งที่ควรจะนำเงินเพิ่มในส่วนดังกล่าวไปใช้ในการสร้างงาน น่าจะดีกว่า” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว
นอกจากนี้ กลุ่มรักษ์เมืองไทยยังเสนอให้รัฐบาลนำงบประมาณสนับสนุนการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด จำนวน 18,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในความดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัด ให้นำไปใช้ในการสร้างงานให้มากที่สุด หากรัฐบาลชี้แจงความจำเป็นและทำความเข้าใจกับผู้ว่าราชการทั้งหมด เชื่อว่าเม็ดเงินนี้น่าจะนำมาใช้ได้เต็มทั้งจำนวน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรชักจูงให้ท้องถิ่นที่มีเงินอุดหนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในปี 2553 วงเงิน 171,820 ล้านบาท มาใช้ในการกู้เศรษฐกิจชาติ เน้นการสร้างงานให้ได้ทั่วประเทศ ซึ่งวงเงินของทั้งหมด ถ้าจะทำให้เห็นผลจริง น่าจะเป็นหลักแสนล้านบาท
สำหรับการรับจำนำข้าวนาปรัง ที่ประชุมเห็นว่ารัฐบาลควรจะยุติโดยเร็วที่สุด และควรปล่อยให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทให้มากขึ้น เพราะยิ่งรับจำนำจะยิ่งทำให้ข้าวของไทยราคาสูงและไม่สามารถส่งออกแข่งขันกับเวียดนามได้ เนื่องจากขณะนี้มีสัญญาณอันตรายแล้วว่า ช่วง 3 เดือนแรกของปี การส่งออกข้าวของไทยกับเวียดนามเท่ากัน ทั้งที่ปีที่ผ่านมาเวียดนามส่งออกข้าวจะมีสัดส่วนเพียงครึ่งหนึ่งของไทย
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์