สูตรแห่งความสำเร็จในชีวิตประการหนึ่งในจำนวน ๓๘ ประการ คือ ปุพฺเพกตปุญฺญตา ซึ่งขออธิบายไว้ให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้
มาว่าถึงความหมายของคำก่อน ปุพฺเพ แปลว่า ปางก่อน + กต แปลว่า กระทำแล้ว + ปุญฺญตา แปลว่า ความมีบุญ ดังนั้น “ปุพฺเพกตปุญฺญตา ก็แปลว่า ความมีบุญอันกระทำไว้แล้วในปางก่อน” หรือ “มีความดีเป็นทุนเดิม”
ความดีงามที่เคยสะสมไว้ในจิตใจของเรามากๆ เป็นพื้นฐานเกื้อหนุนให้เราเจริญก้าวหน้าในชีวิต พูดเช่นนี้บางท่านอาจสงสัยว่า ถ้าคนเราสะสมความดีงามแต่ชาติปางก่อนได้จริง ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรในชาตินี้สิ เช่น คนเก่งภาษาบาลีในชาติก่อน มาชาตินี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาเรียนให้เมื่อยอยู่ๆ ความรู้บาลีก็คงผุดขึ้นมาเอง แต่คนอย่างนี้ไม่เคยมีปรากฏ
ถ้าไม่คิดให้ลึกก็ไม่เข้าใจ ขอยกตัวอย่างทางรูปธรรมให้เห็นเพื่อเข้าใจง่าย ดูร่างกายเรานี่เป็นตัวอย่าง เรากินอาหารสารพัดวันละหลายมื้อ กินมาตั้งหลายสิบปีแล้ว หมูเห็ดเป็ดไก่ ทั้งมังสวิรัติ ไม่มังสวิรัติว่ากันเรียบวุธ หมดเปลืองเงินทอง เพราะการกินเป็นจำนวนมากนี้เรียกว่าร่างกาย “สะสม” อาหาร
ถ้ามีคนถามว่า เมื่อร่างกายมันสะสมอาหารเช่นนี้แล้ว เราจะกินอีกทำไม ท่านจะตอบอย่างไร ก็ต้องตอบว่า มันสะสมอาหารจริง แต่มิใช่สะสมไว้ทั้งดุ้น อาหารที่กินลงไปมันได้ถูกย่อยไปหล่อเลี้ยงร่างกาย กลับกลายเป็นเนื้อหนังมังสาไปหมดแล้ว ถ้าเราไม่กินอาหารอย่างต่อเนื่อง ร่างกายก็จะหมดการสะสม ไม่เจริญเติบโต อาจถึงตายได้
ฉันใดก็ฉันนั้น จิตใจเราก็ “สะสม” ความดีงามไว้เป็นคุณสมบัติ สะสมไว้มากเท่าใดก็จะเก็บกักตุนไว้ “เป็นทุนเดิม” มากเท่านั้น เมื่อมีทุนเดิมแห่งความดีในจิตใจมากๆ ก็จะเกื้อหนุนส่งเสริมให้คนๆ นั้นประสบความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้
ใครได้เคยสะสมความดีไว้มากน้อยแค่ไหนในอดีตชาติเรารู้ไม่ได้ เพราะเรื่องของบุญกรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งเกินสติปัญญาของคนธรรมดาจะรู้ได้ แต่เราก็เห็นอยู่ในชีวิตเราๆ ท่านๆ นี่เองว่า ผลแห่งความดีที่กระทำไว้มีจริง
ย่ำโคลนขี้ควายมาด้วยกัน ไปๆ มาๆ กลายเป็นรัฐมนตรีไปแล้ว ในขณะที่อีกหลายคนยังคงหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินอยู่เหมือนเดิม เณรน้อยหัวขี้กลากอยู่บ้านนอกเมื่อหลายสิบปีก่อน เผลอๆ อ้าว! กลายเป็นสมเด็จพระราชาคณะเป็นที่เคารพนับถือของคนจำนวนมากไปแล้ว อะไรล่ะครับที่ทำให้สองคนที่กล่าวมานี้ประสบความสำเร็จถึงระดับนี้ ถ้ามิใช่เพราะมี “บุญเก่า” เป็นทุนเดิมคอยหนุน
ที่พระพุทธเจ้าทรงวางสูตรแห่งความสำเร็จในชีวิตข้อนี้ไว้ข้อหนึ่งในจำนวน ๓๘ ข้อ คงมิใช่ให้มานั่งฝันถึงความหลังว่าชาติก่อนเราได้ทำบุญมากน้อยแค่ไหน (เพราะมันผ่านไปแล้วช่วยอะไรไม่ได้) แต่คงจะมุ่งหมายให้เราเชื่อมั่นว่า ความดีเป็นพื้นฐานช่วยให้คนเจริญสุขจริง ความดีนั้นสะสมได้จริง สักวันหนึ่งความดีที่สะสมไว้นี้จะช่วยเกื้อหนุนส่งเสริมเราได้จริง
คนที่เชื่อเช่นนี้แล้ว จะไม่งอมืองอเท้าคอยกินบุญเก่ามีแต่จะพยายามสร้างความดีต่อไป
เมื่อครั้งผมเป็นสามเณรอยู่กับหลวงพ่อเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ วัดทองนพคุณ (สมณศักดิ์ท่านสมัยนั้น คือ พระกิตติสารโศภน) มีคหบดีท่านหนึ่งนำพระสุโขทัยสวยงามมากองค์หนึ่งมาถวายท่าน บอกว่า ตั้งแต่ได้พระองค์นี้มาคนในบ้านไม่สบายกันบ่อย หมอเข้าทรงบอกว่าให้นำพระไปถวายวัดเสีย
เมื่อเขาไปแล้วหลวงพ่อพูดว่า พระพุทธรูปนั้นดีทุกองค์ แต่ที่อยู่กับเขาไม่ได้ เพราะเขาไม่มีความดีพอที่จะรองรับ บุญไม่ถึงที่จะได้ของดีเป็นสิริมงคลมาอยู่ด้วย มันก็มีอันให้ร้อนใจอย่างนี้แหละ
“คงไม่เคยไหว้พระสวดมนต์ ทำบุญทำกุศลอะไรเลย พระท่านจึงไม่อยู่ด้วย” หลวงพ่อสรุป
อยากได้เพชรมาทำแหวน ก็ต้องหาเรือนแหวนมารองรับเพชร และเรือนก็ต้องสวยงามมีค่าพอที่จะรองรับเพชรเม็ดโตได้ฉันใด อยากมีความสุขความเจริญ ก็ต้องมีความดีที่สะสมอบรมไว้ เป็นฐานรองรับหรือเกื้อหนุนส่งเสริมให้เจริญฉันนั้น ไม่ใช่อยู่ๆ จะให้เจริญก้าวหน้าโดยไม่เคยทำอะไรไว้เลย ย่อมเป็นไปไม่ได้
ถึงมี “บุญหล่นทับ” ก็รักษาไว้ไม่ได้ ดังที่ชาวบ้านเรียกว่า วาสนาบารมีไม่ถึง ดังนิทานจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้
ณ เทวาลัยนอกเมืองพาราณสี มีไก่หลายตัวอาศัยอยู่ คืนวันหนึ่งไก่สองตัวทะเลาะกัน สาเหตุมาจากตัวที่นอนอยู่ข้างบนขี้ใส่หัวตัวที่นอนอยู่ข้างล่าง
“ไอ้ตัวไหนขี้รดหัวกูวะ” ตัวอยู่ข้างล่างตะโกนด่า
“ทานโทษไม่ทันเห็น นึกว่าไม่มีใครอยู่ข้างล่าง แต่ไม่เป็นไรดอก ขี้ฉันไม่ใช่ขี้ธรรมดานะ” ตัวอยู่บนพูดยวนทำให้ตัวข้างล่างโมโหหนักขึ้น
“เอ็งรู้ไว้เสียด้วย ถ้าใครได้กินข้า จะได้กหาปณะพันหนึ่งในวันนี้ทันที” ไก่ตัวล่างตะโกนอวด
“กระจอก รู้ไว้เสียด้วย ถ้าใครได้กินเนื้อสันของข้า จะได้เป็นพระราชา ใครกินเนื้อติดหนังจะได้เป็นเสนาบดี ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นมเหสี ถ้าใครกินเนื้อติดกระดูกจะได้เป็นขุนคลัง ถ้าเป็นพระจะได้เป็นพระอาจารย์พระเจ้าแผ่นดิน เห็นหรือยังว่าข้าแน่ขนาดไหน” ไก่ตัวบนคุยทับ
คนหาฟืนที่หลบมานอนอยู่ใกล้เทวาลัยได้ยินเข้า จึงแอบเอาไก่ตัวบนไปฆ่าย่างอย่างดี ชวนภรรยาไปอาบน้ำชำระร่างกายก่อนกินไก่ อาบน้ำพลางครึ้มอกครึ้มใจที่จะได้เป็นพระราชามหากษัตริย์ ขณะนั้นเอง ถาดใส่ไก่ย่างถูกลมพัดแรงลงแม่น้ำลอยไปตามกระแสน้ำ สองสามีภรรยาเลยชวดกิน
นายควาญช้างอาบน้ำให้ช้างอยู่ทางใต้น้ำเห็นเข้าจึงนำไปให้ภรรยาที่บ้าน ดาบสผู้คุ้นเคยกับควาญช้างรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ได้ไปยังบ้านควาญช้างพอดี เขาจึงนำไก่ย่างตัวนั้นไปถวายดาบส ดาบสฉันเนื้อติดกระดูก แบ่งเนื้อสันให้นายควาญช้าง และเนื้อติดหนังให้ภรรยานายควาญช้าง กล่าวเป็นปริศนาว่า โยมทั้งสองจะโชคดีในไม่ช้านี้ แล้วลากลับ
สามวันต่อมา มีข้าศึกมาล้อมเมืองพาราณสี พระราชาทรงคิดพิสดารอะไรไม่รู้ คือ ทรงให้นายควาญช้างแต่งกายเป็นพระองค์ ส่วนพระองค์แต่งตัวเป็นทหารแล้วออกรบ สิ้นพระชนม์ในสนามรบ พอสงครามสงบ เหล่าเสนาอำมาตย์และประชาชน ได้ยกนายควาญช้างขึ้นเป็นพระราชาปกครองประเทศสืบแทนองค์ก่อน
ตำแหน่งใหญ่โตรออยู่ข้างหน้า คนหาฟืนแกอดได้เป็น อย่างนี้ทางพระท่านเรียกว่า ไม่มีปุพฺเพกตปุญฺญตา ครับ
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์