ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ก.ค.) ศูนย์ประสานงานเครือข่ายประชาชน ประกอบด้วย คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกประเทศไทย เครือข่ายแรงงานนอกระบบ เครือข่ายสลัม 4 ภาค สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ร่วมกันแถลงคัดค้านการยกเลิกรถเมล์ร้อน และปฏิเสธคูปองคนจน
นายชาลี ลอยสูง กรรมการคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า ตามที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ผลักดันให้นำรถเมล์ปรับอากาศใช้ก๊าชเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลงจำนวน 6,000 คัน พร้อมยกเลิกรถเมล์ร้อน 3,000 คัน ทำให้ผู้ใช้แรงงาน กรรมกร คนจนเมือง ตลอดจนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นผู้โดยสารหลัก ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น โดยการนำรถเมล์ปรับอากาศจำนวน 6,000 คัน เข้ามาวิ่ง เมื่อคำนวณแล้วไม่คุ้มทุน ซึ่งใช้งบประมาณในการเช่ารถคันละ 5,100 บาทต่อวัน ยังไม่รวมค่าบริหารจัดการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างพนักงานขับรถ สวัสดิการ ค่าเชื้อเพลิงอีก 4,706 บาท รวมแล้วคันละ 9,806 บาทต่อวัน เมื่อรวม 6,000 คัน เป็นเวลา 10 ปี ใช้เงินปีละ 211,809 ล้านบาท ซึ่งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ไม่ได้เป็นเจ้าของรถ ขณะเดียวกัน เอกชนได้จ่ายค่าเช่าซื้อรถแบบเดียวกันในราคาวันละ 2,250 บาท เป็นเวลา 4 ปี ได้เป็นเจ้าของรถ
นายชาลี กล่าวต่อว่า การนำรถปรับอากาศ 6,000 คัน มาใช้นั้น ส่อถึงการทุจริตคอรัปชัน แม้นายกรัฐมนตรีย้ำว่าใช้กระบวนการที่โปร่งใสต่อประชาชน โดยจะให้มีการทำประชาพิจารณ์ในเว็บไซต์ แต่คนจนและคนที่เดือดร้อน รวมถึงผู้ที่ด้อยโอกาสจะเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร หากนำเอาคนที่เป็นหัวคะแนนมาทำประชาพิจารณ์แทนก็ไม่น่าเชื่อถือ
ด้านนางประทิน เวคะวากยานนท์ อดีตประธานเครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าวไม่เห็นด้วยกับคูปองช่วยคนจนที่มีรายได้ต่ำกว่า 6,200 บาทต่อเดือนต่อครอบครัว ว่า เนื่องจากไม่มีหลักเกณฑ์กำหนดผู้มีสิทธิได้รับคูปองที่ชัดเจน เพราะว่าคนที่ทำงานนอกระบบก็ไม่มีฐานเงินเดือนที่แน่ชัด ผู้สูงอายุก็ไม่มีรายได้ที่แน่นอน ถึงแม้จะมีรายได้เดือนละ 6,500-8,000 บาท แต่ก็มีภาระหนี้สินท่วมตัว ถือว่าจนเช่นกัน ซึ่งรัฐบาลเองเพียงกำหนดตัวเลขรายได้ขึ้นมาลอยๆ เท่านั้น ทั้งนี้ คูปองคนจนยังเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายประชานิยมของรัฐบาลมากกว่าการแก้ไขปัญหาประชาชนอย่างจริงจัง พร้อมทั้งผลประโยชน์ตกอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าขนาดใหญ่ ดังนั้น รัฐบาลควรเอางบประมาณ 60-70 ล้านบาท มาอุดหนุนสวัสดิการขึ้นพื้นฐานของประชาชนโดยตรง เช่น ช่วยลดค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเล่าเรียนบุตร ค่ารถเมล์นักเรียน เป็นต้น
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์