วานนี้ (6 ก.ค.) นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ขณะนี้ มีรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนครบ 12 ปี ซึ่งสิ้นอายุการใช้งานตามกฎหมายแล้วบางราย ออกวิ่งรับ-ส่ง ผู้โดยสาร ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งนอกจากจะทำให้ยากแก่การตรวจสอบในกรณีเกิดอุบัติเหตุหรืออาชญากรรมแล้ว ประชาชนผู้โดยสารยังอาจไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายด้วย
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า สำหรับรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนในหมวด ทฉ,ทต และ ทท สิ้นอายุการใช้งานแล้วทั้งหมด ซึ่งเดิมกฎหมายกำหนดให้รถแท็กซี่สามารถใช้งานได้ 12 ปี ต่อมาได้มีการแก้ไขกฎกระทรวงลดอายุการใช้งานของรถแท็กซี่ลงเหลือ 9 ปี เพื่อให้สภาพรถมีความมั่นคงแข็งแรงพร้อมนำมาให้บริการประชาชน โดยกฎหมายกำหนดให้รถแท็กซี่ที่ครบอายุการใช้งาน จะต้องนำสมุดคู่มือจดทะเบียนรถมาบันทึกหลักฐานการสิ้นอายุการใช้งานพร้อมส่งคืนแผ่นป้ายทะเบียนรถแก่ทางราชการภายใน 30 วัน นับแต่วันสิ้นอายุการใช้งาน หากต้องการนำรถคันดังกล่าวไปใช้งานเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะต้องแก้ไขสีของตัวรถให้เป็นสีเดียวตลอดทั้งคัน พร้อมถอดป้ายโคมไฟบนหลังคาและลบเครื่องหมายต่างๆ ที่ใช้กับรถยนต์รับจ้างออกทั้งหมด จึงจะสามารถนำไปจดทะเบียนเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลได้
รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ปัจจุบันมีรถแท็กซี่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก จำนวน 96,605 คัน เป็นรถนิติบุคคล จำนวน 63,862 คัน และรถบุคคลธรรมดา จำนวน 32,743 คัน ต่ออายุภาษีถูกต้อง จำนวน 75,711 คัน โดยยังมีบางส่วนที่ครบอายุการใช้งานแล้วแต่ยังไม่ได้มาดำเนินการแจ้งการสิ้นอายุหรือเปลี่ยนประเภทรถต่อนายทะเบียน ซึ่งผู้ขับรถแท็กซี่ที่นำรถที่สิ้นอายุการใช้งานมาวิ่งรับส่งผู้โดยสารจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ 2522 มาตรา 5 (10) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท และหากนำรถที่แจ้งเปลี่ยนประเภทเป็นรถส่วนบุคคลแล้วมาลักลอบรับส่งผู้โดยสารจะมีความผิดตามมาตรา 21 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และประชาชนผู้โดยสารที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากการให้บริการของรถแท็กซี่หรือรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ขอให้ร้องเรียนหรือแจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะหมายเลข 1584 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์