รุมสับ “นพดล” เร่งประเคนเขาพระวิหาร
ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 23 มิ.ย. ได้มี การประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อให้คณะรัฐมนตรีชี้แจงปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย และปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินที่ส่อว่าจะเกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง ตามมาตรา 161 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่เสนอโดย น.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี และคณะ มีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดย ส.ว.หลายคนได้ลุกขึ้นอภิปรายกรณีที่รัฐบาลเซ็นลงนามสนับสนุนกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก อาทิ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต นายสุชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ โดย ม.ร.ว.ปรียนันทนากล่าวว่า รมว.ต่างประเทศยังไม่เคยชี้แจงให้ชัดเจนถึงความเร่งรีบให้การสนับสนุนกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่คัดค้านหรือต่อรองให้มีการขึ้นทะเบียนร่วมกัน 2 ประเทศ เป็นการไม่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ คำนึงถึงผลกระทบที่จะนำมาต่ออนุชนรุ่นหลัง จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าทำเพื่อใคร ทางเดียวที่จะกอบกู้สถานการณ์ ได้คือกระทรวงการต่างประเทศต้องทบทวนนโยบาย โดยระงับและถอนการออกแถลงการณ์ร่วม หากไม่ทำต้องคัดค้านต่อคณะกรรมการมรดกโลก เพื่อชะลอการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้ประเทศมีเวลาเตรียมข้อมูลทางวิชาการและขอยื่นจดทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกันกับกัมพูชา ถ้าทำเช่นนี้ก็จะมีความชัดเจนและไม่มีประเทศใดได้เปรียบเสียเปรียบและประชาคมโลกจะได้รับมรดกโลกที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง
ชี้มองมุมไหนก็ผิดรัฐธรรมนูญ
ขณะที่นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ที่ รมว.ต่างประเทศอ้างว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวไม่ใช่สนธิสัญญา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 นั้น อ้างไม่ได้ เพราะไม่ว่าเอกสารนั้นจะเรียกชื่อว่าอะไรไม่สำคัญ แต่หากมีการตกลงกับรัฐบาลต่างประเทศ และมีข้อผูกพันระหว่างประเทศก็ถือเป็นสัญญา โดยเฉพาะการรับรองให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว เท่ากับสละสิทธิของไทยโดยปริยาย รัฐบาลต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ส่วนถ้าสงสัยว่าการลงนามดังกล่าวจะเข้าข่ายมาตรา 190 หรือไม่ ต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ รัฐบาลไม่อาจจะเลี่ยงบาลี เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดตามรัฐธรรมนูญได้
“สมัคร” ชี้ผู้ชุมนุมยุให้คนเกลียด รบ.
จากนั้น นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงต่อที่ประชุม ส.ว.ถึงกรณีเขาพระวิหารว่า ไปตีความว่าไปยอมกัมพูชาหมด เท่ากับสละสิทธิ มันเกี่ยวกันตรงไหน อธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศก็รู้ ไม่ได้ ห้าม ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารตั้งแต่ปี 2505 อยู่มาอย่างนี้ พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร พอรัฐบาลกัมพูชาจะขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก รัฐบาลไทยท้วงและไปเจรจากันก่อนที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตกลงกันได้ก็ยอมเซ็นว่าขึ้นเฉพาะตัวปราสาทได้ เพราะเป็นของเขา ไม่อยากพูดว่าปี 2543 รัฐบาลชุดไหนที่ไปตกลงเรื่องโนแมนแลนด์ 2 กิโลเมตร ทำไมคนไทยไม่สังเกตเห็นว่าบนเขาพระวิหารมีธงเขมรอยู่ เป็นข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ นี่เอาจะเป็นเอาตาย ปลุกระดมกัน ผู้หญิงตัดเสื้อชุดละหมื่นโทร.มาบอกว่าจะยอมตาย จะไปชุมนุมเพื่อเขาพระวิหาร นี่หาเหตุให้ รัฐบาลถูกเกลียดชัง เป็นไปได้อย่างไร ลองไปถาม ผบ.ทบ. แม่ทัพ อธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือ นายศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านโบราณคดี ก็อธิบายชัดเจน แต่นี่จะทำกันอย่างไร เอากองทัพไปประชิด เดินขบวนประท้วงหรือเราอยู่กับเพื่อนบ้านนะ เอาเอกสารมาดูกัน อย่ามาล่อกันแบบนี้
กมธ.ศาสนาจี้รัฐยกระดับงานโบราณคดี
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง นางตรึงใจ บูรณสมภพ ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา กล่าวว่า กรณีเขาพระวิหารเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะสายเกินไปแล้วที่จะทักท้วงเพราะคนไทยให้ความสำคัญกับมรดกวัฒนธรรมของชาติน้อยมาก หากกัมพูชาได้จดทะเบียนแล้วเท่ากับทำให้ประเทศไทยเสียอำนาจในการบริหารพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทไป จึงถือเป็นบทเรียนสำคัญที่รัฐบาลต้องหันกลับมาทบทวนการรักษามรดกทางวัฒนธรรมอื่นๆด้วย เช่น ควรยกระดับหน่วยงานโบราณคดีขึ้นเป็นกรมในการช่วยสอดส่องอนุรักษ์โบราณสถานแห่งชาติ เพราะปัจจุบันหน่วยงานนี้มีบุคลากรไม่กี่คนที่ทำงานดูแลโบราณสถาน ทำให้ไม่ สามารถทำอะไรได้ ซึ่งทราบว่าในวันอังคารที่ 24 มิ.ย.นี้ ม.ร.ว.ปรียนันทา รังสิต จะไปยื่นขอให้ยูเนสโกทบทวนการจะขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารออกไปก่อนเพื่อรอให้มีการขึ้นทะเบียนโดยรอบของเขาพระวิหารไปพร้อมๆ กัน เพราะรอมานาน ไม่เคยเห็น รมว.ต่างประเทศจะดำเนินการเรื่องนี้ เพิ่งจะแสดงท่าทีเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากที่ ส.ว.ติติง
ติไทยไม่ทำอะไรปล่อยเขมรล้ำแดน
ด้าน ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ นักวิชาการอาวุโส ในฐานะคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) กล่าวว่า ในอดีตที่ศาลโลกตัดสินให้เขาพระวิหารตกเป็นของประเทศกัมพูชา โดยขณะนั้น ม.จ.เพลิงนภดล รพีพัฒน์ พระบิดาของตน ทรงดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศของไทย ซึ่งการที่เขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา ปัญหาใหญ่อยู่ที่แผนที่ของฝรั่งเศสจัดทำขณะที่เป็นเจ้าอาณานิคมในกัมพูชา ซึ่งฝรั่งเศสในสมัยล่าอาณานิคมถือเป็นประเทศมหาอำนาจที่สามารถเขียนแผนที่ตามความต้องการ อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2505 ที่ศาลโลกตัดสินนั้น ฝ่ายไทยก็ไม่ได้ยอมรับและมีท่าทีประท้วงคำตัดสินของศาลโลก แต่ต่อมาการที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่โดยรอบเขาพระวิหาร โดยที่ฝ่ายไทยไม่ได้ทำอะไร กลับปล่อยปละละเลยทั้งนี้ โดยส่วนตัวไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลไทย โดยนายนพดล ปัทมะ รมว.การต่างประเทศ จึงไปตกลงยินยอมกับกัมพูชา เพราะเรื่องเขาพระวิหารนั้น ฝ่ายไทยไม่ควรทำอะไรที่เป็นการสนับสนุนกัมพูชาที่จะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดความยุ่งยาก ต้องยึดจุดยืนของไทยที่มีท่าทีประท้วงคำตัดสินของศาลโลก
เขมรแหยงปิดประตูเข้าปราสาท
อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษ ว่าก่อนที่วุฒิสมาชิกจะเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาล และมีการกล่าวถึงประเด็นเขาพระวิหารนั้น ปรากฏว่าที่บริเวณทางเข้าปราสาทพระวิหาร ทหารกัมพูชาได้ปิดประตูทางเข้าปราสาทพระวิหาร บริเวณรอยต่อที่เป็นประตูเหล็ก 2 ช่อง ทางเข้าและทางออก โดยปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นชม อันเป็นผลจากเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีกลุ่มพลังมวลชนจากสถาบันธรรมะประชาธิปไตย ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ สมัชชากรรมกรแห่งชาติ สภาการวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยตามแนวพระราช ดำริเศรษฐกิจพอเพียง สภานักศึกษาแห่งชาติ และชาวศรีสะเกษ เดินเท้าจากศรีสะเกษ นำโดยนายชิงชัย มงคลธรรม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นแกนนำ มาชุมนุมกันบริเวณลานหิน ผามออีแดง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ก่อนถึงประตูทางเข้า เรียกร้องเขาพระวิหารคืนเป็นของไทย และส่วนหนึ่งประมาณ 30 คน ปักหลักนำบ้านหลังเล็ก 1 หลัง มาตั้งอยู่ใกล้กับศาลารองรับนักท่องเที่ยวบนผามออีแดง เป็นเหตุให้ฝ่ายกัมพูชาปิดทางเข้าเขาพระวิหารด้านไทยดังกล่าว
ผวจ.ศรีสะเกษมั่นใจแค่ปิดชั่วคราว
ต่อมานายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัด ศรีสะเกษ กล่าวว่า สาเหตุที่ฝ่ายกัมพูชาปิดเขาพระวิหาร เป็นเพราะคณะธรรมยาตราไปเรียกร้องพร้อมตะโกนด่าฝ่ายกัมพูชากลัวเหตุการณ์จะเกิดความรุนแรง จึงปิดชั่วคราว ถ้ากลุ่มผู้เรียกร้องสลายตัวและเหตุการณ์ปกติ ทางฝ่ายกัมพูชาก็พร้อมที่จะเปิดทันที เช่นเดียวกับนายประเสริฐ อร่ามศรีวรพงษ์ นายอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในฐานะประธานจุดผ่อนปรนเขาพระวิหาร กล่าวว่า ข่าวกัมพูชาปิดเขาพระวิหาร ราษฎรทราบกันแล้ว เพราะสื่อสารมวลชนเผยแพร่ข่าวรวดเร็ว มีผลกระทบต่อพ่อค้าแม่ค้าที่จำหน่ายสินค้าให้นักท่องเที่ยว ซึ่งก็คงว่าอะไรเขาไม่ได้เพราะเป็นสิทธิของเขา คงต้องรอให้เหตุการณ์ ที่คลุมเครือให้ชัดเจนก่อน รัฐบาลกลางของกัมพูชาจึงจะอนุญาตให้เปิด
คนค้าขายฝั่งไทยโอดเจ๊งสนิท
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ข่าวกัมพูชาปิดประตูทางเข้าปราสาทพระวิหารแพร่ออกไป ก็ส่งผลกระทบกับพ่อค้าแม่ค้าขายอาหารและของที่ระลึก บริเวณลานจอดรถผามออีแดง ซบเซาลงทันที โดยนายเหล็ก เพชรดี พ่อค้าขายของที่ระลึกกล่าวว่า แม้จะเปิดเขาพระวิหารนักท่องเที่ยวก็มากันน้อย และมีมากเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ ประกอบกับช่วงนี้น้ำมันแพง มาโดนปิดอย่างนี้เรียกว่าตายสนิททีเดียว พ่อค้าแม่ค้า 40 รายต่างเป็นหนี้ธนาคารประชาชนซึ่งใกล้จะต้องชำระหนี้แล้ว ส่วนนายบุญมี บัวต้น นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเสาธงชัย ผู้สนับสนุนงบประมาณในการสร้างสาธารณูปโภค และอำนวยความสะดวกในการท่องเที่ยว กล่าวว่า การเรียกร้องเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ควรให้อยู่ในขอบเขตที่ทั้งสองฝ่ายรับได้ เมื่อกัมพูชาปิดเขาพระวิหาร เศรษฐกิจโดยรวมจะกระทบพอสมควร จึงเรียกร้องให้ทางรัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาด่วน
พธม.โคราชจี้แม่ทัพภาค 2 ชี้แจง
ในช่วงสายวันเดียวกัน ที่บริเวณหน้าประตูทางเข้าค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อ.เมืองฯ ด้านนอกหน้า กองรักษาการณ์กองทัพภาคที่ 2 พันเอกชินกาจ รัตนจิตติ ผอ.กองกิจการพลเรือนกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้แทนพลโทสุจิตร สิทธิประภา แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งติดภารกิจประชุมที่กรุงเทพมหานคร เดินทางลงมารับหนังสือกับกลุ่มภาคีมวลชนคนโคราชรักษ์ประชาธิปไตย โดยการนำของทันตแพทย์ศุภผล เอี่ยมเมธาวี ผู้ประสานงานกลุ่มภาคีมวลชนคนโคราชรักษ์ประชาธิปไตย พร้อมด้วยกลุ่มผู้ชุมนุมกว่า 20 คน ที่เดินทางมายื่นหนังสือต่อแม่ทัพภาคที่ 2 ให้ตอบข้อเท็จจริงกรณีการลงนามรับรองแผนที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ของนายนภดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ ประเทศไทยเสียพื้นที่ให้กับประเทศกัมพูชาทั้งสิ้น 46 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเห็นว่าการรับรองแผนที่ของ รมว.ต่างประเทศจะทำให้ประเทศไทยเสียผลประโยชน์ ดังนั้น จึงอยากให้แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบในพื้นที่ออกมาตอบข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยพันเอกชินกาจ รัตนจิตติ ผอ.กองกิจการพลเรือนกองทัพภาคที่ 2 ได้ออกมารับหนังสือ และรับปากกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อไป
กองทัพปูด “บัวแก้ว” สั่งปิดปาก
กระนั้นมีรายงานข่าวด้านความมั่นคงกล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาปิดประตูทางเข้าปราสาทเขาพระวิหาร เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมว่า ขณะนี้ทางกองทัพยังไม่ได้ทำหนังสือชี้แจงต่อกัมพูชา และเป็นพื้นที่ ที่อยู่ในกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาทำได้ ทั้งนี้ รั้วประตูดังกล่าวไทยและกัมพูชามีกุญแจด้วยกัน ตามปกติจะมีการเปิดประตูร่วมกันในเวลา 08.00 น. เพื่อให้นักท่องเที่ยวขึ้น ที่ผ่านมามีรายได้เล็กน้อย แต่ขณะนี้รับแจ้งอย่างไม่เป็นทางการว่ากัมพูชาขอปิดประตูทางขึ้นด้วยเหตุผลความปลอดภัย เพราะกลุ่มธรรมยาตราเดินทางไปที่เขาพระวิหารเพื่อประท้วงและเรียกร้องให้กัมพูชาผลักดันชาวกัมพูชากว่า 500 คน ที่มาสร้างบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่อุทยาน โดยนายทหารระดับสูงนายหนึ่งกล่าวว่า เหตุการณ์เพิ่งเกิด ทำให้กองทัพไทยยังไม่ทำหนังสือชี้แจงและกระทรวงการต่างประเทศก็ห้ามให้หน่วยงานอื่นให้ข่าว ซึ่งแจ้งว่ากระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ที่แถลงข้อเท็จจริงเอง ทั้งนี้ เห็นด้วยที่ทางกลุ่มธรรมยาตราเดินทางไปประท้วงให้กัมพูชาผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่อุทยานเพราะชาวบ้านรู้ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของไทย เมื่อเขารู้ว่ามีปัญหาจึงต้องมาดำเนินการ ที่ผ่านมาไม่มีภาครัฐ เข้าไปผลักดันหรือดำเนินการในเรื่องนี้เลย
โบ้ย พธม.ใช้เขาพระวิหารปลุกกระแส
วันเดียวกัน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน แถลงข่าวภายหลังการประชุมพรรค โดยก่อนแถลง ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรค และ ส.ส. ศรีสะเกษ ได้นำ ส.ส.ศรีสะเกษทั้ง 6 คน นายธเนศ เครือรัตน์ นายปวีณ แซ่จึง นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ นายวีระพล จิตสัมฤทธิ์ นายวิวัฒชัย โหตระไวศยะ นายธีระ ไตรสรณกุล มาร่วมแถลงยืนยันตามที่มีข่าวว่าไทยกำลังจะเสียดินแดน หลังจากที่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ได้ทำข้อตกลงกับประเทศกัมพูชากรณีเขาพระวิหาร โดย ส.ส.ทั้งหมดต่างยืนยันว่าเป็นไปตามข้อมูลที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและกรมแผนที่ทหาร ได้ชี้แจงแล้ว การที่บอกว่าไทยกำลังจะเสียดินแดนไม่เป็นความจริง และได้กล่าวโทษไปยังกลุ่มพันธมิตรฯที่กำลังปลุกปั่นกระแสชาตินิยมให้กับประชาชน
เย้ย 4 เงื่อนไขชุมนุมเป็นหมัน
ร.ท.กุเทพกล่าวว่า ส่วนกรณีที่พันธมิตรปลุกระดมว่าบ้านเมืองกำลังจะเสียดินแดน พร้อมมีความพยายามกดดันให้นายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ นั้น ส.ส.ได้ยืนถามหัวหน้าพรรคหลายครั้งถึงมีความพยายามกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ โดยนายสมัครชี้แจงด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส ย้ำกับ ส.ส.ว่าจะอดทนอดกลั้นทุกวิถีทาง จะไม่ลาออก หรือยุบสภา ทำให้ ส.ส. อบอุ่น บางคนถึงกับบอกว่า วันนี้นายกฯหล่อมาก บรรยากาศการเมืองวันนี้เป็นไปด้วยความอบอุ่น และมั่นใจว่าวิกฤติการเมืองครั้งนี้ไม่สามารถทำลายล้างรัฐบาลและพรรคพลังประชาชนได้ เพราะสิ่งที่เราพูดตรงกันคือสิ่งที่พันธมิตรต้องการคือ 4 ประการตามที่ทั้ง 2 กลุ่มวางแผนไว้ คือ 1. นายสมัครลาออก 2. ยุบสภา 3. มีการรัฐประหาร และ 4. พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว ทั้ง 4 อย่างจะไม่เกิดขึ้นแน่ ในขณะที่นายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี และข่าวลือ ข่าวลวงที่กลุ่มพันธมิตรฯพยายามบอกว่าในพรรคมีการกดดันนายสมัคร ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องไปดำเนินการ เพราะข้อเท็จจริงคือนายสมัครต้องฟันฝ่าอุปสรรคตรงนี้ให้ได้ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ
แฉ พธม.จะขนคนลุยเขมรรอบเขาฯ
ด้าน พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์หลังตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บริเวณประตู 5 ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ และหารือกับ ผบช.น.อยู่ครู่หนึ่งว่า จากการที่หารือกับ ผบช.น. ทราบว่าขณะนี้มีการรายงานการข่าวว่ากลุ่มพันธมิตรฯกำลังเตรียมคนจำนวนหนึ่งไปลุยกับประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่ทับซ้อนใกล้เขาพระวิหาร คนเหล่านั้นเป็นชาวเขมรที่เข้ามาอาศัยในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2543 สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย และต้องการให้เกิดปัญหา ขอเตือนว่าทหารกัมพูชาไม่เหมือนตำรวจไทยที่อดทนอดกลั้นสูง หากทางการกัมพูชาต้องการปกป้องคนของเขาขึ้นมาจะเกิดปัญหา หรืออาจจะเป็นสงครามขึ้นมาได้ จึงขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าทำอย่างนั้นเลย อย่างไรก็ตาม นายกฯไม่ได้บ่นอะไรถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ บอกเพียงว่าจะชุมนุมก็ชุมนุมไป ในส่วนของนายกฯ ก็จะดำเนินการแก้ไขทางการเมืองในรัฐสภาและยืนยันว่าไม่ใช้กำลังสลายม็อบอย่างแน่นอน และมีการเจรจากับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯทุกวัน
ย้ำประเทศยังมีระบบกฎหมาย
โฆษกประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า ยืนยันว่าภารกิจของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อหลบหนีกลุ่มพันธมิตรฯ จะประชุม ครม.ยังคงประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลแน่นอน ขณะนี้กระบวนการต่างๆ เข้าสู่ระบบรัฐสภาแล้ว เปิดให้อภิปรายกันอย่างเต็มที่ และมีการถ่ายทอดให้ประชาชนได้รับทราบแทนการรับรู้ข้อมูลเพียงด้านเดียว คิดว่าภายใน 3 วันนี้ เหตุการณ์ต่างๆน่าจะคลี่คลาย ประชาชนที่มาร่วมการชุมนุมเมื่อได้รับฟังคำชี้แจงของรัฐบาลแล้วน่าจะมีวิจารณญาณว่ารัฐบาลทำผิดหรือถูก ถ้าคิดว่าทำผิดก็ใช้วิธีการทางรัฐสภา นายกฯเปิดกว้างอยู่แล้ว เพียงแต่ขอให้เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะประเทศนี้ปกครองตามระบบกฎหมาย ไม่ใช่ระบบตามใจชอบ ส่วนการรักษาความปลอดภัยในทำเนียบฯนั้นจำเป็นต้องสลับหมุนเวียนกำลังเพราะตำรวจใน กทม.อาจดูแลไม่ทั่วถึง อย่างกรณีที่มีเหตุการณ์ปล้นเงินในสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเพราะตำรวจต้องเข้ามาดูแลในส่วนกลางยืนยันว่ารัฐบาลไม่ไปจุดชนวนอะไรแน่นอน
“นพดล” มีแผนขึ้นทะเบียนสระตราว
จากนั้นในเวลา 12.30 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่ากระทรวงการต่างประเทศมีแผนการขอขึ้นทะเบียนสระตราว-บันไดปราสาทเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลกนี้แล้ว เนื่องจากเป็นผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่เพื่อลดแรงกดดันที่กำลังเผชิญจากกลุ่มพันธมิตรฯในขณะนี้ แต่เห็นว่าขณะนี้ยังไม่สามารถจัดเตรียมเอกสารส่งให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาในการประชุม ที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ในวันที่ 2-10 ก.ค.นี้ โดยตนได้เตรียมข้อมูลที่เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารและมติ ครม.เมื่อปี 2505 ที่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกที่ให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มั่นใจว่าสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจะจัดทำข้อมูลข้อเท็จจริง อีกทั้งได้เร่งจัดทำสมุดปกขาวแผ่นพับหลายพันเล่มเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหารให้ความรู้แก่ประชาชนผ่านทางเว็บไซต์ของกระทรวงฯและผ่านสื่อมวลชน
กต.แจงข้อเท็จจริงปราสาทพระวิหาร
ต่อมานายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งโทรสารชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยมีการไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆว่า เรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา มีความเป็นมาตั้งแต่ 2548 ในหลักการไทยไม่คัดค้าน เพราะเป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่ ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ตามผลคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวที่มีข้อสังเกตว่าเราจะสามารถอ้างสิทธิเรียกคืนได้หรือไม่ ตามธรรมนูญศาลโลกสามารถทำ ได้หากมีหลักฐานใหม่ โดยจะต้องหยิบยกขึ้นภายใน 10 ปี หลังคำพิพากษาตัดสิน ซึ่งบัดนี้ได้ล่วงเลยเวลามาแล้ว
ไทยเคยค้านการขึ้นทะเบียนมรดกโลก
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการที่ฝ่ายกัมพูชาได้เคยเสนอแผนที่ต่อคณะกรรมการมรดกโลก ที่มีการลากเส้นเขตแดนและกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย สืบเนื่องจากต่างฝ่ายต่างยึดถือแผนที่คนละฉบับ ทำให้ไทยจำเป็นต้องคัดค้านการดำเนินการดังกล่าวของกัมพูชา
คณะกรรมการตีกลับให้แก้ปัญหาร่วมกัน
การคัดค้านความพยายามของกัมพูชาเกิดขึ้นในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ 31 ที่นครไครสต์เชิร์ซ นิวซีแลนด์ เมื่อปี 2550 โดยไทยคัดค้าน 2 ประเด็น ทั้งเรื่องเขตแดนที่มีความเข้าใจไม่ตรงกัน และในแง่มุมทางวิชาการ ซึ่งทำให้ปราสาทพระวิหารไม่ อาจเป็นมรดกโลกที่มีความสมบูรณ์ได้หากปราศจากส่วนควบรวมของปราสาท อันมีที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งผลการคัดค้านดังกล่าว คณะกรรมการมรดกโลกมีมติให้ชะลอการพิจารณาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารไปก่อน โดยให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาต่างๆ แล้วเสนอกลับเข้าที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 32 ที่เมืองควิเบก แคนาดา ในเดือน ก.ค.2551 พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งผลประโยชน์ของไทยคือการดำเนินการทั้งปวงเพื่อรักษาสิทธิด้านเขตแดนและอธิปไตยของไทยเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนผลประโยชน์ของกัมพูชาคือความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 32
ยันมีข้อตกลงต่างคนต่างขอ
นอกจากนี้ ในคำชี้แจงตอนหนึ่งระบุถึงการที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดไทยไม่นำโบราณสถาน ซึ่งเป็น องค์ประกอบของปราสาทพระวิหารที่อยู่ในเขตไทยรวมขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก เรื่องที่ฝ่ายไทยได้เคยหารือกับฝ่ายกัมพูชาแล้ว ฝ่ายกัมพูชาขอให้ต่างคนต่างเสนอ ซึ่งก็ได้นำไปสู่คำถามของนักโบราณคดีว่า หากกัมพูชานำปราสาทพระวิหารในส่วนของกัมพูชาไปขึ้นฝ่ายเดียว จะทำให้องค์ประกอบทางโบราณคดีไม่ครบ จะทำให้เสียคุณค่าไป เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกว่าจะตัดสินใจอย่างไร อย่างไรก็ตาม การที่ฝ่ายกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารฝ่ายเดียวก็ไม่ถือเป็นการตัดสิทธิที่ฝ่ายไทยจะดำเนินกระบวนการเพื่อขอขึ้นทะเบียนองค์ประกอบอื่นๆที่อยู่ในดินแดนไทยต่อไปในอนาคต
ย้ำแถลงการณ์ร่วมไม่ใช่สนธิสัญญา
คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ได้ร่วมกันจัดทำขึ้นนี้ มิใช่สนธิสัญญาหรือหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 แต่เป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันเพื่อวัตถุประสงค์ในเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเป็นมรดกโลก ซึ่งจะไม่มีผลใดๆ กับเรื่องเขตแดนและแถลงการณ์ร่วมนี้ได้ยืนยันสิทธิของไทยในพื้นที่รอบบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นผลดีกับไทยทางด้านเขตแดนด้วย
คนไทยในเขมรหวั่นบานปลาย
ส่วนความเคลื่อนไหวของประเทศกัมพูชา เมื่อช่วงค่ำวันเดียวกัน นักธุรกิจคนไทย (ขอสงวนนาม) เจ้าของกิจการในกรุงพนมเปญได้โทรศัพท์มาที่กอง บก. นสพ.ไทยรัฐ แสดงความวิตกกังวลถึงปัญหาข้อพิพาทเรื่องขึ้นทะเบียนมรดกโลกเขาพระวิหารของกัมพูชากับไทย โดยระบุว่าสถานการณ์ในกรุงพนมเปญเริ่มไม่ปกติ เพราะการถกปัญหาทางการเมืองของไทยเรื่องเขาพระวิหารมีการถ่ายทอดทางเคเบิลทีวีตลอดเวลา ขณะนี้กลุ่มคนเขมรเริ่มวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความไม่พอใจออกมาค่อนข้างมาก ส่งผลให้คนไทยในกัมพูชาเริ่มหวาดวิตกเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุรุนแรงซ้ำรอยกรณีเกิดเหตุวุ่นวายเมื่อวันที่ 29 ม.ค.46 โดยสื่อ นสพ.ของกัมพูชา 2 ฉบับต่างพากันประโคมข่าวเรื่อง “กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง” นางเอกสาวของไทยกล่าวทวงคืนนครวัดจากกัมพูชา กลายเป็นเรื่องบาดหมางใหญ่โตถึงขั้นเผาสถานทูตไทยและกิจการของคนไทยจนย่อยยับ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ในขณะนั้น) ต้องส่งเครื่องบินพร้อมกำลังติดอาวุธไปอพยพคนไทยกว่า 700 คน กลับประเทศ ภายหลังทางการกัมพูชาได้ตรวจสอบที่มาของข่าวลือและมีการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ รวมทั้ง นสพ.ทั้ง 2 ฉบับที่เป็นผู้เผยแพร่ข่าวลือ ดังนั้น จึงเกรงว่าครั้งนี้อาจจะมีเรื่องบานปลายใหญ่โตเพราะน้ำผึ้งหยดเดียว อยากจะให้ทุกฝ่ายในเมืองไทยหยุดทะเลาะกัน หันหน้าเข้ามาดูข้อเท็จจริงกันก่อน ไม่ใช่ ต่างคนต่างพูดเข้าข้างตัวเอง เพราะกว่าจะฟื้นตัวจากเหตุรุนแรงครั้งที่แล้วก็ต้องใช้เวลานานถึง 3 ปี บางแห่งยังไม่ฟื้นเลยก็มี
การ์ด พธม.รวบ ตร.เมาเข้าชิดเวที
สำหรับบรรยากาศบริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ จุดปักหลักของผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อเวลาประมาณ 00.10 น. วันที่ 23 มิ.ย. ที่บริเวณเวทีชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้าทำเนียบรัฐบาล ได้เกิดเหตุเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ควบคุมตัว จ.ส.ต.จรัส ไทยชนะ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบจลาจล หมวดที่ 1 กองร้อยที่ 2 สังกัด สน.พลับพลาไชย 1 อยู่ในอาการเมาสุรา แต่งกายชุดตำรวจสวมหมวก กันน็อกตราโล่ พร้อมพกกระบอง แก๊สน้ำตา ซึ่งพยายามเข้ามาในเขตรักษาความปลอดภัยเวทีชุมนุม จากการสอบถาม จ.ส.ต.จรัสเปิดเผยว่า ที่เข้ามาบริเวณเขตรักษาความปลอดภัยของเวทีชุมนุมไม่ได้มีเจตนาร้าย และยอมรับว่าเมาสุรา เนื่องจากเครียดเพราะต้องอยู่เวรดูแลความปลอดภัยกลุ่มผู้ชุมนุมมาติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน 3 คืนแล้วไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้กลับบ้านไปดูแลลูกและภรรยาเลย เนื่องจากผู้เป็นนายสั่งให้อยู่เวรตลอด ตอนนี้เป็นช่วงที่ได้พักจึงไปดื่มสุราเพราะกลุ้มใจคิดถึงลูกและภรรยา รวมทั้งเครียดเรื่องงานจนอยากลาออก ด้านนายพร สงแทน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า ที่ต้องควบคุมตัว จ.ส.ต.จรัส เพราะอยู่ในอาการเมาสุรา ประกอบกับมีอาวุธ เพราะเกรงว่าอาจเมาอาละวาด เมื่อ สอบถาม จ.ส.ต.จรัส ก็รู้สึกเห็นใจว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย จึงได้ติดต่อประสานให้นายตำรวจที่ดูแลมารับตัวกลับไป
ตำรวจคุมเข้มกลัวผู้ชุมนุมบุกทำเนียบฯ
ขณะที่บริเวณถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกมิสกวันจนถึงแยกนางเลิ้ง ซึ่งเป็นถนนเส้นที่ผ่านทำเนียบรัฐบาลยังคงมีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 1 พันคน ปักหลักประท้วงรัฐบาลชุดนายสมัคร สุนทรเวช อยู่อย่างเหนียวแน่น
ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ชุมนุมได้เปิดเวทีปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ต่อมาช่วงเวลา 07.00 น. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหลายร้อยนายรักษาความปลอดภัยรอบๆทำเนียบรัฐบาล โดยเฉพาะทางเข้าด้านหน้าบริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งกองร้อยประจำการอยู่หลังแผงเหล็กพร้อมรถคุมขังของเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 3 คันมาปิดกั้นเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าไปบริเวณด้านในของทำเนียบฯ ช่วงที่นายสมัครเข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล
“จำลอง” ประกาศให้ ตร.จับตัวป่วน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า เวลาประมาณ 08.00 น. ได้มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งประมาณสิบคนมุงอยู่บริเวณหน้าทางเข้าทำเนียบฯ ด้านประตูเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์เพื่อปิดทางเข้าออก พร้อมทั้งตะโกนสาปแช่งรัฐบาลจนกระทั่ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องขึ้นเวทีและประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงว่าให้คนเหล่านั้นยุติการกระทำที่ยั่วยุจนอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดย พล.ต.จำลองกล่าวว่า ตนเคยทำงานอยู่ในทำเนียบฯหลายสมัย แม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งที่ระดับสูงกว่าแต่ก็มีความเข้าอกเข้าใจข้าราชการและเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี ถ้ามีใครเข้าไปขัดขวาง หรือไม่ให้เข้าไปทำงานในทำเนียบฯ ถือว่าบุคคลนั้นไม่ใช่คนของพันธมิตร เป็นพวกป่วนกรุง ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมายได้ ถ้ามีกำลังไม่พอขอให้บอกพันธมิตรจะจัดการให้ ซึ่งคำพูดของ พล.ต.จำลอง ทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวค่อยสลายตัวไปในที่สุด
ยืนยันไม่เปิดถนนให้นักเรียนผ่าน
จากนั้นในเวลา 10.00 น. พล.ต.จำลองให้สัมภาษณ์ ว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะไม่เข้าไปทำเนียบรัฐบาลอย่างเด็ดขาด นายสมัครไม่ต้องกลัวว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะปิดประตูทางเข้า-ออกของทำเนียบรัฐบาล และยืนยันว่าหากมีคนขัดขวางไม่ให้นายกรัฐมนตรี หรือข้าราชการเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาล ไม่ใช่กลุ่มของพันธมิตรฯ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมบุคคลดังกล่าวได้เลย ส่วนเรื่องกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯเปิดเครื่องขยายเสียงดัง ทำให้รบกวนการเรียนการสอนของเด็กนักเรียนของโรงเรียนในละแวกนี้ว่าได้ให้เจ้าหน้าที่เทคนิคปรับเครื่องเสียงให้เบาลงแล้ว เพื่อไม่ให้รบกวนเด็กนักเรียน ให้การเรียนเป็นไปอย่างปกติ ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะมีการพูดคุยกับตัวแทนโรงเรียนที่ได้รับความเดือดร้อนของการชุมนุมบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลหรือไม่ พล.ต.จำลองกล่าวว่า ทางครูและโรงเรียนเข้าใจการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ดี จึงไม่ต้องมีการพูดคุยหรือตกลงอะไรกัน และยืนยันว่าจะไม่เปิดเส้นทางให้รถเมล์สัญจรผ่านเพราะเกรงว่าจะมีพวกนรกป่วนกรุงเข้ามาทำร้ายกลุ่มผู้ชุมนุม
พักยุทธศาสตร์ดาวกระจายชั่วคราว
พล.ต.จำลองกล่าวถึงเรื่องยุทธศาสตร์ดาวกระจาย ว่าจะขอพักไว้ก่อนเพราะช่วงเวลานี้กลุ่มพันธมิตรอยู่ในระหว่างการปรับตัวเข้าที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทางเดิน เต็นท์วางไม่ถูกจุด และรถสุขา เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ชุมนุม ส่วนเรื่องกล้องวงจรปิดที่มีบุคคลนำถุงดำมาครอบที่กล้องวงจรปิดในบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ไม่ทราบ ว่าเป็นใคร แต่มั่นใจว่าไม่ใช่ฝีมือของกลุ่มพันธมิตรฯแน่นอน เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ ก็อยากให้กล้องวงจรปิดใช้งานได้ตามปกติเพื่อจะได้จับภาพบุคคลที่จะเข้ามาป่วนในพื้นที่ชุมนุมเช่นกัน
ห้าแกนนำพันธมิตรบุกศาลปกครอง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่มีผลโพลระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯเร็วเกินไป เนื่องจากรัฐบาลออกมาบริหารงานได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น คิดว่าอย่างไร พล.ต.จำลองกล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของผลโพล แต่ประชาชนที่มาร่วมชุมนุมต่างรู้ดีว่าการทำงานรัฐบาลเป็นอย่างไร และในวันพรุ่งนี้แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้ง 5 จะเดินทางไปยังศาลปกครอง เพื่อให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกให้เป็นโมฆะ ต่อมาเวลา 11.00 น. กลุ่มพันธมิตรฯได้ถ่ายทอดเสียงนายสมัครซึ่งกำลังชี้แจงข้อซักถามของสมาชิกวุฒิสภาในการเปิดอภิปรายโดยทั่วไป ผ่านเครื่องกระจายเสียงให้แก่กลุ่มพันธมิตรฯฟัง ในขณะที่ นายสมัครชี้แจงพาดพิงถึงกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุม ต่างแสดงความไม่พอใจ ตะโกนโห่ร้อง และนำกรงนก ซึ่ง ภายในกรงมีรูปของนายสมัคร สุนทรเวช พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายจักรภพ เพ็ญแข มาเขียนประจานพร้อมทั้งเอารองเท้าแตะตบกรงด้วยอาการที่สะใจ ก่อนที่จะสาปแช่งบุคคลทั้งสามด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย
ศาล ปค.ไม่รับคดี พธม.ฟ้อง ตร.
ส่วนที่สำนักงานศาลปกครอง ศาลปกครองกลาง นายชาชิวัฒน์ ศรีแก้ว ตุลาการศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวนออกบัลลังก์ไต่สวนฉุกเฉินคดีหมายเลขดำที่ 966/ 2551 เพิ่มเติมจากเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ใช้อำนาจหน้าที่เกินสมควร กระทำการนอกเหนือหน้าที่ ในการนำรถยนต์ติดเครื่องขยายเสียงแรง 10,000 วัตต์ หันลำโพงมายังด้านเวทีแล้วเปิดเพลงปลุกใจด้วยเสียงที่ดังมาก แทรกเสียงการนำเสนอข้อมูลของกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ระหว่างวันที่ 17-18 มิ.ย.ที่ผ่านมาโดยมีนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรฯ เป็นตัวแทนแกนนำ เข้าให้ถ้อยคำต่อศาล ขณะที่ฝ่ายผู้ถูกฟ้องมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น. 1) เป็น ตัวแทน ภายหลังไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลปกครองกลางได้ใช้ เวลาในการพิจารณานานเกือบ 5 ชั่วโมง ก่อนมีคำสั่งไม่ รับฟ้องและให้จำหน่ายคดีดังกล่าวออกจากสารบบความเนื่องจากเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีและความเดือดร้อนความเสียหายของผู้ฟ้องคดีได้หมดสิ้นไปแล้ว เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ได้เคลื่อนย้ายการชุมนุมจากบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ไปชุมนุมต่อที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ตร.สวนบ้างกลุ่มชุมนุมส่งเสียงดังกว่า
ทั้งนี้ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น. 1 กล่าวยืนยันว่า รถเครื่องขยายเสียงดังกล่าว เป็นรถปราบจลาจลที่ทางบริษัทเอกชนมอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาทดลองใช้ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีมาตรฐาน และไม่ได้มีกำลังแรงเป็นหมื่นวัตต์ตามที่กล่าวอ้าง แต่เป็นเครื่องมือที่นานาประเทศใช้ในการควบคุมฝูงชน และการที่ตำรวจใช้เครื่องเสียงก็อยู่ในกรอบและเป็นการแจ้งเตือนเท่านั้น ที่จริงทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรจะเป็นผู้ฟ้องพันธมิตรฯ ที่เปิดเครื่องเสียงมากกว่า เพราะโรงเรียนในย่านนั้นก็ได้รับผลกระทบ และเชื่อว่าคนที่ทำงานในทำเนียบรัฐบาลก็ได้ยิน เสียงดังเช่นกัน และมีที่ไหนที่จะมีการจัดกองกำลังอิสระ นักรบศรีวิชัยไปคอยตรวจค้น เอาถุงดำไปคลุมกล้องวงจรปิดที่ไว้ใช้ดูการจราจรและปัญหาอาชญากรรม ทำแบบนี้ยิ่ง ไปกันใหญ่
วอนผู้ชุมนุมเปิดเส้นทางให้นักเรียน
จากนั้นในช่วงบ่าย บรรดาผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดเส้นทางสัญจรของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ออกมาวิงวอนขอให้ผู้ชุมนุมเห็นใจ โดยนายวสันต์ ขอสงวนนามสกุล อาจารย์ฝ่ายปกครอง โรงเรียนราชวินิตมัธยม กล่าวว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ปิดเส้นทางหน้าโรงเรียน บริเวณถนนพิษณุโลก ทำให้นักเรียนมาโรงเรียนกันลำบาก มีนักเรียนมาเรียนน้อย เพราะว่าการเดินทางมาโรงเรียนไม่สะดวก จึงอยากให้กลุ่มพันธมิตรฯ กรุณาเปิดเส้นทาง ถนนพิษณุโลกบางช่วง เพื่อความสะดวกของนักเรียน อีกอย่าง อยากขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ เปิดเครื่องขยายเสียงให้เบาลงหรือปิดเสียงในช่วงที่มีการเรียนการสอน เพราะเป็นช่วงที่ นักเรียนใกล้สอบแล้ว ทางโรงเรียนจึงไม่สามารถปิดการเรียน การสอนในระยะนี้ได้ ขณะที่กลุ่มอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร นำโดย ว่าที่ ร.ต.วัชระ โพธิสรณ์ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ เดินทางเข้าพบแกนนำพันธมิตรฯ ด้านหลังเวที เพื่อขอให้เปิดเส้นทางการจราจรบริเวณถนนพิษณุโลก แต่ปรากฏว่าแกนนำทั้ง 5 คน ไม่ได้อยู่ ซึ่งว่าที่ ร.ต.วัชระ เผยว่า ตนเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัย จากคณะอุตสาหกรรมออกแบบสิ่งทอ คณะบริหารธุรกิจ และคณะศิลปศาสตร์ มาพบกับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะต้องการขอให้เปิดเส้นทางการจราจรบริเวณถนนพิษณุโลก เพื่อให้ นักศึกษาเดินทางมามหาวิทยาลัยได้อย่างสะดวก รวมทั้งขอให้มีการปรับความดังของเสียงจากเครื่องขยายเสียงให้เบาลง หรือหันลำโพงไปทางอื่นที่ไม่ตรงกับมหาวิทยาลัย จะได้ไม่เป็นการรบกวนนักศึกษาที่กำลังเรียน แต่เมื่อไม่พบแกนนำก็จะกลับมาใหม่อีกครั้งในช่วงเย็น
ผู้ปกครองโวยผู้ชุมนุมทำเดือดร้อนจริง
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้สอบถามนางประกายมาศ แสงไชย ผู้ปกครอง ด.ช.ชัยมาศ แสงชัย นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่นักเรียน และผู้ปกครองของโรงเรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเวลามารับมาส่งเด็กที่โรงเรียน จะใช้เส้นทางตรงถนนนครปฐม ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวที่สามารถเดินทางมาถึงโรงเรียนได้ ทำให้เด็กเดินทางมาโรงเรียนไม่สะดวก ต้องเดินทางไกล แล้วอาจได้รับอันตรายจากการเดินทาง รวมทั้งเวลาเดินเข้าออกผ่านตรงจุดตรวจของเจ้าหน้าที่กลุ่มพันธมิตรฯ ที่อยู่ก่อนถึงโรงเรียน ซึ่งจะต้องพบกับความไม่สะดวกเพราะเจ้าหน้าที่ของพันธมิตรฯไม่ยอมให้เข้าออกได้ง่ายๆ ต้องสอบถามและค้นตัวก่อนเสมอถึงจะผ่านเข้ามาได้ ทำให้เสียเวลาเป็นอย่างมาก ขณะที่ ด.ช.วชิรวิทย์ รมณีย์ นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนราชวินิตมัธยม ก็บอกเช่นกันว่า หลังจากที่มีการชุมนุมกันทำให้การเดินทางมาโรงเรียนลำบากมาก เพราะบ้านอยู่ที่ซอยจรัญ 23 ต้องตื่นเร็วกว่าปกติ อีกทั้งต้องขึ้นรถเมล์สาย 509 และจะต้องเดินเท้าเข้ามาที่โรงเรียนซึ่งเป็นระยะที่ไกลมาก อยากให้กลุ่มผู้ชุมนุมเห็นใจเด็กนักเรียนบ้าง ส่วน ด.ญ.ชัชศรัณย์ ทักษิณ นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนเดียวกัน กล่าวว่า การเดินทางลำบากมาก เพราะปกติแม่จะต้องขับรถมาส่งที่หน้าโรงเรียน แต่หลังจากที่มีม็อบแม่จะมาส่งที่แยกมิสกวัน และจะต้องเดินเท้าเข้ามาเอง อยากให้เลิกชุมนุม นักเรียนจะเรียนได้อย่างปกติ เพราะขณะนี้ใกล้จะสอบแล้ว
ตร.พระย้ำสันติอโศกไม่ใช่พระ
ด้านพระธรรมสุธี เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ในฐานะหัวหน้าพระวินยาธิการ (ตร.พระ) กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ร้องเรียนมาที่ตนมากว่าให้ดำเนินการกับกลุ่มสันติอโศก ที่มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะเข้าใจผิดว่ากลุ่มสันติอโศกเป็นพระสงฆ์ ขอยืนยันว่าสันติอโศกไม่ใช่พระสงฆ์ และมหาเถรสมาคม (มส.) ได้เคยมีประกาศนียกรรม หรือการไม่ยอมรับสันติอโศกมาแล้วตั้งแต่ปี 2532 และยังมีผลมาจนถึงปัจจุบัน จึงอยากให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้ช่วยเข้าไปดูแล และสร้างความเข้าใจกับประชาชนด้วย
เตรียมร่อน จม.แจงสื่ออย่าสับสน
ส่วนนายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ กล่าวว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ จะทำหนังสือชี้แจงถึงสื่อมวลชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะสื่อต่างชาติที่ยังเข้าใจผิดว่า สันติอโศก คือ พระสงฆ์ว่ากลุ่มคนที่แต่งกายคล้ายพระสงฆ์ที่เข้าไปชุมนุมในกลุ่มพันธมิตรฯนั้น ไม่ใช่พระ หรือนักบวชที่อยู่ในการดูแลของมหาเถรสมาคม เพราะพระสงฆ์ของประเทศไทย ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แม้กระทั่งการเลือกตั้งก็ไม่สามารถทำได้ ส่วนกรณีพระวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ออกมาร้องว่า ไม่สามารถบิณฑบาตหน้าวัดได้ เนื่องจากมีกลุ่มพันธมิตรฯ มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากนั้น ตนจะส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักเลขาธิการมหาเถรฯ เข้าไปดูข้อเท็จจริงดังกล่าว หากพบว่าพระสงฆ์มีความเดือดร้อนจริงก็ต้องให้ความช่วยเหลือต่อไป
เปิดแผนฉุกเฉินพานายกฯเข้าทำเนียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลถึงการเตรียมเส้นทางเข้าออกภายในทำเนียบรัฐบาลให้นายกรัฐมนตรีและ ครม.ในการประชุม ครม.วันที่ 24 มิ.ย. ว่า จะมีการเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 14 กองร้อย กระจายกำลังรักษาความปลอดภัยภายในทำเนียบฯ และรอบบริเวณทำเนียบฯ โดยจะมีการจัดชุดตำรวจไปเฝ้าประจำจุดประตูทางเข้าออกทุกทางไว้ ส่วนประตูที่นายกรัฐมนตรีจะใช้เป็นเส้นทางเข้าออกทำเนียบฯ ในวันที่ 24 มิ.ย.นั้น ได้เตรียมไว้ 2 จุด คือ 1. ประตู 5 ฝั่งตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ 2. ประตูด้านหลังสะพานอรทัย ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทีมรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีว่าจะเลือกใช้เส้นทางใด อย่างไรก็ตาม หากในวันที่ 24 มิ.ย. เกิดเหตุฉุกเฉินที่ผู้ชุมนุมปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลไว้ทุกประตูจนนายกฯไม่อาจเข้ามาทำงานได้ ก็ได้มีการเตรียมแผนฉุกเฉินไว้ด้วยการนำแผ่นเหล็กขนาดใหญ่มาพาดคลองผดุงกรุงเกษม ริมทำเนียบรัฐบาลเพื่อให้นายกฯ เดินข้ามมาทำงาน
เตือนผู้ชุมนุมบุกทำเนียบฯเป็นกบฏ
พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในการเคลียร์เส้นทางเข้า-ออกในทำเนียบรัฐบาลว่า ไม่น่าจะมีปัญหาในการใช้เส้นทาง ได้ขอความร่วมมือจากกลุ่มพันธมิตรฯอย่ากีดขวางทางเข้า-ออกเพราะหากไปปิดถนนก็จะไม่ชอบธรรม ไม่มีเหตุผล อย่าให้เกินเลยมากเกินไป เพราะจะดูไม่งาม ส่วนกำลังเจ้าหน้าที่ที่คอยรักษาความปลอดภัยภายในทำเนียบรัฐบาล ก็ใช้กำลังตามปกติจำนวน 1,200 นาย เพียงแต่เพิ่มกำลังบริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาลทั้งถนนราชดำเนิน ลูกหลวงสะพานอรทัยที่เสริมกำลังเพิ่มอีก 2,100 นาย ทั้งนี้ นายกฯไม่ต้องสั่งการอะไรมาก และถ้าม็อบบุกรุกเข้ามาก็จะกลายเป็นกบฏ ส่วนที่มีข่าวจะมีการสร้างสถานการณ์ด้วยการเผาทำเนียบรัฐบาลและโยนความผิดให้กลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ยืนยันว่าทำเนียบรัฐบาลจะมาเผาไม่ได้ ถ้าเผาทำเนียบรัฐบาลก็ต้องเผาตำรวจด้วย ตำรวจยอมตายคาทำเนียบรัฐบาล
ผบช.น.สั่งขัง 7 วัน ตำรวจเมา
นอกจากนี้ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. กล่าวในเวลาต่อมาถึงกรณี จ.ส.ต.จรัส ไทยชนะ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบจลาจล สน.พลับพลาไชย 1 อยู่ในอาการเมา ใส่เครื่องแบบเข้าไปในเวทีกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า สั่งการไปยังต้นสังกัดให้ดำเนินทำโทษทางวินัย สั่งขังเป็นเวลา 7 วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดื่มสุรานอกเวลาราชการก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่หากการดื่มขณะปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องจัดการตามระเบียบ และยังพบเจ้าหน้าที่ตำรวจจากภูธรอีก 5 นาย เมาสุราขณะปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน และส่วนนี้ได้ประสานทางต้นสังกัดให้สั่งขังเป็นเวลา 7 วันแล้วเช่นกัน
“บักใส” ยังยืนยัน ตร.ก่อกวน
สำหรับบรรยากาศในช่วงเย็นได้มีประชาชนต่างพากันทยอยเดินทางมาฟังคำปราศรัย ของแกนนำกลุ่ม พันธมิตรฯเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันบนเวทีได้มีสมาชิกกลุ่มพันธมิตรฯผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นปราศรัยโจมตีการทำงานรัฐบาล พร้อมกับเรียกร้องให้ประชาชนสนใจปัญหาเขาพระวิหาร สลับด้วยการแสดงดนตรีเพื่อชีวิต ต่อมาเวลา 18.20 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองจำหน่ายคดีที่กลุ่มพันธมิตรฯฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีที่ใช้เสียงก่อความวุ่นวายให้กลุ่มพันธมิตรฯ ว่าศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเพราะเหตุมันจบไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องออกคำสั่งบรรเทาทุกข์อย่างที่ร้องไป นอกจากนี้ ศาลยังบอกว่าถ้าเป็นไปได้ควรใช้วิธีหารือกันซึ่งตนคิดว่าหากตำรวจต้องการที่จะแจ้งข่าวสารหรือประชาสัมพันธ์กับผู้ชุมนุม ตนยินดีที่จะนำคำสั่งหรือข้อความที่ตำรวจต้องการสื่อสารมาอ่านบนเวที หรือหากต้องการแจกใบปลิวแถลงการณ์ก็จะจัดโต๊ะให้ตำรวจแจกบริเวณทางเข้าที่ชุมนุม แต่สิ่งที่ตำรวจได้กระทำที่สะพานมัฆวานฯ นั้นเป็นการยั่วยุผู้ชุมนุมมากกว่าที่ต้องการสื่อสารกับผู้ชุมนุม
ไปศาล ปค.อีกยื่นกรณีเขาพระวิหาร
ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯกล่าวว่า ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปที่ศาลปกครองอีก เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนมติ ครม.กรณีเขาพระวิหาร เพราะไม่เป็นไปมาตรา 190 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตามพระราชกฤษีกาว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน และจะขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเรียกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาไต่สวนกรณีที่กัมพูชาอาจเอาข้อตกลงร่วมหรือการลงนามร่วมระหว่างไทยกัมพูชาไปยื่นจดทะเบียนต่อยูเนสโกในต้นเดือน ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นกรณีฉุกเฉิน โดยจะขอให้ศาลระงับจนกว่ามติ ครม.หรือการลงนามร่วมเป็นไปโดยชอบกฎหมาย โดยตนจะเดินทางพร้อมกับทีมทนายไป ส่วนแกนนำจะไม่ไปแต่จะอยู่ที่ชุมนุม และจะมีการจัดขบวนไปด้วยส่วนหนึ่ง พร้อมทั้งย้ำจุดยืนของพันธมิตรฯอีกครั้งว่า การชุมนุมจะไม่ปิดประตูทำเนียบทั้งหมด และห้ามผู้ชุมนุมบุกเข้าไปโดยเด็ดขาด หากมีใครหรือกลุ่มบุคคลใดเข้ายึดหรือทำลายข้าวของในทำเนียบขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้ทันที เพราะในขณะนี้มีข่าวออกมาว่าจะมีการสร้างสถานการณ์ หรือออกข่าวว่าสุดท้ายพันธมิตรฯจะบุกเข้าไปหรือปิดตายทำเนียบทั้ง 5 ประตู และถึงขั้นเตรียมการขนเอกสารและเตรียมเผาสร้างสถานการณ์ป้ายความผิดให้กับกลุ่มพันธมิตรฯ
มุ่งมั่นเปลี่ยนระบอบการเมืองใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ ที่ ส.ส.จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล กลุ่มพันธมิตรฯจะไปชุมนุมที่หน้ารัฐสภาหรือไม่ นายสุริยะใสกล่าวว่า จะไม่เดินทางไปแน่นอน ส่วนเรื่องระบอบการเมืองใหม่ที่กลุ่มพันธมิตรฯจะนำเสนอนั้น เป็นจุดยืนที่ยกระดับไปพร้อมๆกับการต่อสู้ การประกาศยุทธศาสตร์การเมืองใหม่นั้นจะต้องใช้เวลา ต้องทำความเข้าใจกับผู้คน การเมืองใหม่ของพันธมิตรฯหมายความว่า เป็นการจุดประกายการเมืองใหม่ ไปให้ พ้นจากการเมืองเสียงข้างมาก ไปให้พ้นจากการเมืองแบบตัวแทน และไปให้พ้นจากการเมืองแบบนักการเมือง แต่ เป็นการเมืองแบบที่ประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรง สิ่งเหล่านี้คือหลักการใหญ่ๆ แต่การออกแบบนั้น นักวิชาการ นักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์ จะต้องมาช่วยกันคิดช่วยกันออกแบบ ตนไม่เชื่อว่าในขณะนี้ระบบรัฐสภาปกติจะสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์บ้านเมืองแบบนี้ได้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของ ส.ว.หรือ ส.ส.ไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลได้ เป็นเพียงพิธีกรรมของรัฐบาลที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่ารัฐบาลเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา แต่ตนคิดว่า ถ้าเชื่อมั่นจริง ทำไมไม่เอาเรื่องเขาพระวิหารเข้าสู่สภาฯ
“สนธิ” กระพือไฟทวงเขาพระวิหารคืน
จากนั้นเวลา 21.30 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวโจมตีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี อย่างดุเดือดเลือดพล่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเขาพระวิหาร ที่เรียกเสียงปรบมือโห่ร้องจากผู้ฟังเป็นระยะ โดยในการปราศรัย นายสนธิยังได้เปิดเทปที่บันทึกเสียงของนายสมัครที่พูดถึงเรื่องเขาพระวิหาร เทียบกับเสียงของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เคยกล่าวถึงการสูญเสียปราสาทพระวิหารว่าเป็นความคับแค้นและผูกใจเจ็บ และวันหนึ่งข้างหน้าจะต้องเอาปราสาทพระวิหารคืนมาให้ได้ เมื่อผู้ชุมนุมได้ยินเสียงอันคับแค้นใจของจอมพลสฤษดิ์ต่างพากันส่งเสียงร้องแสดงความไม่พอใจนายสมัคร ขณะที่นายสนธิได้ย้ำว่าการที่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ไปรับรองปราสาทพระวิหารให้เขมรจะทำให้ไทยเสียสิทธิต่างๆ ที่พึงมีในอนาคตไปในทันที และขอให้จดจำรัฐมนตรี 35 คน ที่ยังนั่งอยู่ในตึกไทยคู่ฟ้าว่ามีส่วนในการแบ่งแยกดินแดนไทยไปให้เขมร ส่วนตนจะต่อสู้ไปจนถึงที่สุด ตายเป็นตาย ทุกคนต้องไม่ท้อ เพราะกำลังมีการทดสอบความอดทนว่าจะอึดหรือไม่อึด ขอให้ทุกคนกลับไปพาเพื่อนหรือญาติพี่น้องกลับมาร่วมชุมนุม 1 คน ชวน 1 คน และหากจะมีการเป่านกหวีดรวมพลอีกครั้งคนจะต้องมากกว่าครั้งที่ผ่านมา
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์