หลังจากที่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสามารถเคลื่อนกำลังย้ายที่ชุมนุมจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ มาปักหลักอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย พร้อมประกาศกร้าวรัฐบาลต้องลาออกสถานเดียวด้วยนั้น
นายกฯเยี่ยม 4 ตร.เจ็บจากชุมนุม
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่า ได้ออกจากบ้าน ซอยนวมินทร์ 81 ไปตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อทำภารกิจส่วนตัว ต่อมาในช่วงสายได้ไปยังองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) หาซื้ออาหารคาวหวาน รวมทั้งผลไม้เพื่อไปเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยเมื่อเวลา 11.30 น. นายสมัครซึ่งมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใส พร้อมด้วย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางไปยังอาคารกาญจนาภิเษก โรงพยาบาลตำรวจ เยี่ยมอาการเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย คือ ส.ต.ต.หญิง พรพิรุณ โตรำจร และ ส.ต.ต.หญิง พจนา แก้วเกษศรี ซึ่งพักรักษาตัวอยู่ ที่ห้อง 909 ชั้น 9 และ จ.ส.ต.คมสัน ศรีคำ กับ จ.ส.ต. ศราวุธ เลิศพร ที่ห้อง 1106 โดยนายสมัครได้มอบช่อดอกไม้ อาหารและผลไม้ พร้อมทั้งมอบซองบรรจุเงินขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ โดยนายสมัครสอบถามถึงอาการให้กำลังใจให้หายจากอาการบาดเจ็บเร็วๆ รวมทั้งขอบคุณสำหรับการปฏิบัติหน้าที่
แนะให้รอฟัง “พูดจาประสาสมัคร”
จากนั้นในเวลา 13.00 น. นายสมัครกล่าวกับผู้ สื่อข่าวที่มาติดตามทำข่าวด้วยท่าทีที่ค่อนข้างเป็นมิตรว่า “ขอความกรุณาอย่าตาม เพราะผมจะไปกินข้าว” เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยังจะทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลอยู่หรือไม่ นายสมัครตอบว่า “ตามปกติ ตามปกติ” เมื่อถามว่า จะปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯปิดล้อมทำเนียบฯต่อไปหรือไม่ นายสมัครหัวเราะเหอะๆ ก่อนตอบว่า “รอฟังพรุ่งนี้ ตอนเช้า พรุ่งนี้ 8 โมง 30 นาที ช่อง 11 วันนี้มันอันตรายไม่ต้องตาม ผมจะไปกินข้าว”
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายสมัครได้ยกเลิกกำหนด การร้องเพลงการกุศลงาน “คอนเสิร์ตดุจบิดรมารดา” ร่วมกับวงดนตรีกองทัพบก ที่หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ ซอยอารีสัมพันธ์ ในเวลา 13.00 น. เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งยกเลิกหมายดังกล่าว โดยสั่งให้ผู้แทน ผบ.ทบ.ไปร่วมงานแทน
“สมัคร” โวยแก๊งข้างถนนไล่รัฐบาล
ต่อมานายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้ สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯปักหลักชุมนุมประท้วงไล่นายกฯ และ ครม.ให้ลาออกอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาลว่า มีคนปลุกระดมกันข้างถนน โดยวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าเขาต้องการให้เราออก ถามว่าจริงๆแล้วมันเป็นไปได้มั้ยที่คนมาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง แต่จู่ๆมีคณะมาบอกว่าไม่ชอบแล้วให้ออก ถ้าเป็นอย่างนี้บ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าเลือกตั้งกันใหม่อีกแล้วมีคนไปตั้งแก๊งกันมาอย่างนี้ แล้วบ้านเมืองจะอยู่ได้ อย่างไร และรัฐบาลเราเพิ่งบริหารงานมา 4 เดือน มันเสียหายอะไรถึงจะมากล่าวหากันเช่นนี้ ในสภาฯก็กล่าวหากันแล้วข้างถนนก็มากล่าวหากันอีก ลองถามคิดถึงหัวอกของคนเป็นนายกรัฐมนตรี คนเป็นคณะรัฐมนตรีที่เรามาถูกต้องตามกฎหมายแล้วจะให้ทำอย่างไร
โวยถูกป้ายสีกรณีเขาพระวิหาร
เมื่อถามว่า ทางกลุ่มพันธมิตรฯมีการนำประเด็นเขาพระวิหารมาเป็นกระแสหลักในการขับไล่รัฐบาล นายสมัครตอบว่า เรื่องเขาพระวิหารเป็นการขุดเรื่องเก่าเมื่อ 45 ปีที่แล้วมาพูด เป็นเรื่องที่แพ้คดีในศาลโลกเขาไปแล้ว แต่เราเป็นคนมาทักท้วงว่าคุณจะมาขึ้นทะเบียนมรดกโลกบริเวณรอบๆนั้นไม่ได้ คนที่มาประท้วงเรื่องนี้เห็นหรือไม่ว่าเขาพระวิหารปักธงอะไรอยู่ตั้งนานมาแล้ว มีใครไปเปลี่ยนธงของเขาลงหรือไม่ ส่วนเรื่องการกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งเรื่องก๊าซ เรื่องพลังงาน น้ำมันหรือกระทั่งกาสิโนอะไรต่างๆ เป็นการหาเรื่องกันไป ยืนยันว่าทั้งทางฝ่ายทหารและกระทรวงการต่างประเทศเขาได้ ดูร่วมกันแล้วว่าแผนที่ขีดเส้นสีชมพูที่เขาทำมาใหม่ไม่ได้ มีปัญหารุกล้ำเสียดินแดนอะไร เรื่องพื้นที่ทับซ้อนจะต้องไปเจรจาความกันต่อ ต้องบริหารจัดการร่วมกัน ต้องไปทำขั้นตอนต่อไป ตอนนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เราจะให้ เขาทำไปคราวเดียวกันทั้งพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล พื้นที่ในแนวชายแดนและพื้นที่ทับซ้อนรอบปราสาท คนที่หยิบเรื่องนี้มาโจมตีควรไปศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดีก่อน มีคนมาบอกว่าจะยอมตายเพราะเรื่องนี้ ขอให้ไปดูเลยว่าข้อเท็จจริงเสียว่าเราแพ้คดีในศาลโลกมาตั้งแต่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นทนายสู้คดี
“เลี้ยบ” สาดชุมนุมทำหุ้นรูด 8 แสนล้าน
นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวในรายการ “คุยนอก ทำเนียบ” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ว่าการที่จะดึงดันทำอะไรเพียงแค่เอาชนะ ต้องคำนึงว่าชัยชนะนั้นเป็นชัยชนะบนความบอบช้ำของประเทศ หรือบนคราบน้ำตาของประชาชน ขณะนี้ไม่สามารถทำนายอนาคตของประเทศได้ว่าจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร ซึ่งจะ เป็นผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ที่เห็นได้ชัดคือ ความเชื่อมั่นของประชาชน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมดัชนีต่ำลงไปร่วม 100 จุดมูลค่าของตลาดลดลง 8 แสนกว่าล้านบาท หากการชุมนุมยืดเยื้อต่อไปก็น่าเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจประเทศจะได้รับผลกระทบเมื่อควบคู่กับปัญหาราคาน้ำมัน ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่รุมเร้าก็ยิ่งหนักหน่วง
“เหลิม” ยันไม่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯยังไม่มีความรุนแรง แต่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยเฉพาะการจราจร ส่วนการจะประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี แต่คิดว่าคงไม่ใช่เวลานี้ เพราะกลุ่มพันธมิตรฯยังชุมนุมอย่างสันติ และคงไม่ทำอะไรรุนแรงถึงขนาดบุกเข้าทำเนียบรัฐบาลหรือทำลายข้าวของ เพราะถือว่าเป็นสมบัติของชาติ และหากจะรอให้รัฐบาลใช้กำลังก็ขอให้รอไปชาติหน้า ขอย้ำอีกครั้งว่านายกรัฐมนตรีจะไม่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
เย้ยชุมนุมจัดตั้งกว่าร้อยละ 80
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวอีกว่า จากการรับรายงานสถาน-การณ์ภาพรวมทั่วประเทศ พบว่าร้อยละ 80 ของประชาชนจากต่างจังหวัดที่มาร่วมชุมนุม มาจากการจัดตั้ง ซึ่งไม่ใช่ เรื่องแปลก ขณะเดียวกันในระดับตำบลยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่จะนำประชาชนเข้ามาชุมนุมเพิ่มเติมใน กทม. และผู้ชุมนุมใน กทม. ที่ชื่นชอบกลุ่มพันธมิตรฯ ก็มีเพียง 8,000-10,000 คนเท่านั้น จึงเชื่อว่าตัวเลขผู้ ชุมนุมจะไม่เกิน 1 แสนคน และไม่ใช่จำนวน 5 แสนคน ตามที่กลุ่มพันธมิตรฯกล่าวอ้าง โดยจำนวน 5 แสนคนก็เป็นการประมาณราคาม็อบเอง ซึ่งแท้จริงมีผู้เข้าร่วมไม่เกิน 25,000 คน อย่างไรก็ตาม ได้กำชับไปยัง ผวจ.ทั่ว ประเทศอย่าสกัดกั้นการเดินทางที่จะเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะจะเป็นการเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาร่วมมากขึ้น ซึ่งการตั้งด่านก็เป็นเพียงการสกัดกั้นยาเสพติดเท่านั้น
อยากเจรจาด้วยแต่เงื่อนไขเยอะ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่ระบุว่านายกรัฐมนตรีจะถอดใจลาออก ร.ต.อ.เฉลิมตอบว่า ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีจะไม่ถอดใจลาออก สำหรับกรณีที่พันธมิตรฯกล่าวปราศรัยบนเวทีว่าตนจะลี้ภัยไปอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี ก็ไม่ เป็นความจริง ยังคงทำงานอยู่ใน กทม. และวันเดียวกันนี้ ก็จะเดินทางไปกระทรวงมหาดไทย เพื่อประเมินและสรุปสถานการณ์ เพื่อเป็นข้อมูลรายงานให้กับรัฐบาล อย่างไร ก็ตาม ส่วนตัวอยากเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่มีการตั้งเงื่อนไขมากเกินไป โดยเฉพาะการที่จะให้รัฐบาลลาออก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ หากประชุม ครม.ไม่ได้ก็เปลี่ยนไปประชุมที่อื่น เห็นว่าน่าจะเป็นที่กระทรวงกลาโหม เพราะนายกรัฐมนตรีก็เป็น รมว.กลาโหมอยู่แล้ว แต่การเปลี่ยน สถานที่ประชุม ครม.บ่อยๆ อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ซึ่งพันธมิตรฯ ก็ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย
“บุญสร้าง” ชี้ทหารออฟไซด์ไม่ดี
ส่วนที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่วงบ่าย พล.อ. บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.ทหารสูงสุด ก็ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลว่า ถือเป็นประชาธิปไตยที่ผู้คนมีสิทธิที่จะแสดงออก แต่ต้องให้อยู่ภายในขอบเขต แต่เท่าที่ดูมีความเรียบร้อยดี และไม่มีความรุนแรง และนายกรัฐมนตรีประกาศเสมอว่าจะไม่ใช้ทหาร ซึ่งเป็นแนวทางที่ตนเห็นด้วย ส่วนการควบคุมเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่ใช่ว่าตำรวจเอาไม่อยู่ แล้วทหารออกไปจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา เพราะส่วนมาก ออกไปจะทำให้หนักขึ้นไปอีก และเอาทหารออกไปจะไม่ใช่เป็นการพัฒนาประชาธิปไตย ตอนนี้ก็ให้กำลังใจคนไทยทุกคน และคนไทยจะต้องทำประเทศของเราให้ดีให้ได้ เพราะจากที่ตนไปประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีเห็นได้ชัดว่า 100 ปีที่แล้วว่าอยู่ประมาณญี่ปุ่น แต่ต่อมาเขาก็ผ่านเราไปจนมองไม่เห็น ส่วนเกาหลีเมื่อก่อนสมัยสงครามเกาหลี เราอยู่หน้าเขา แต่ขณะนี้เขากำลังจะไป จนมองไม่เห็นเหมือนกัน นอกจากนี้ ตนไม่ควรไปวิจารณ์ ใดๆ เพราะจะสร้างความสับสน และคนเป็นทหาร พูดเรื่องการเมืองคงไม่เหมาะสม
ให้กำลังใจนายกฯ บริหาร ปท.ต่อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่กระทรวงต่างประเทศตัดสินใจลงนามร่วมกับกัมพูชาเพื่อขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก พล.อ.บุญสร้างปฏิเสธที่จะตอบคำถามก่อนที่จะเดินเลี่ยงผู้สื่อข่าวเดินทางกลับ ขณะเดียวกันก็มีรายงานจากกองทัพบกว่า ในการหารือระหว่างนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ที่สโมสรทหารบก เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น ได้มีการหารือและประเมินสถานการณ์ถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จ และเรียกร้องให้นายสมัครลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดย พล.อ.อนุพงษ์กล่าวกับนายสมัครว่า ไม่ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกฯ และขอให้ทำงานบริหารชาติต่อไป โดยทหารจะคอยเป็นกำลังใจให้และไม่ต้องห่วงว่าทหารจะออกมาทำอะไรทั้งสิ้น ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ยังได้แสดงความเห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะตำรวจยังสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
โต้ข้อกล่าวหาขนคนร่วมชุมนุม
ขณะเดียวกัน ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯเคลื่อนขบวนมาปิดล้อมหน้าทำเนียบรัฐบาลว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ดำเนินการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยความสุขุมและไม่มีการใช้ความรุนแรง เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯคลี่คลายไปในทางที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาบานปลายตามมา และถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจยังยึดถือแนวทางนี้ต่อไป ก็จะช่วยทำให้สถานการณ์ไม่บานปลายออกไป ส่วนการที่พรรคพลังประชาชนกล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ขนคนจำนวนมากจากหลายๆ จังหวัด โดยเฉพาะภาคใต้มาร่วมชุมนุมนั้น ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสี เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆในการเข้าร่วมชุมนุมของประชาชนที่จัดโดยกลุ่มพันธมิตรฯ และไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่พรรคต้องทำเช่นนั้น เพราะพื้นที่ที่จัดการชุมนุมนั้น พรรคมี ส.ส.อยู่เต็มพื้นที่และเราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมวลชนเป็นอย่างมาก อีกทั้งประชาชนที่มาร่วมการชุมนุมดังกล่าว เชื่อว่ามาด้วยความสมัครใจ มากกว่าการถูกชักจูงด้วยอามิสสินจ้าง หรือการขนคนเข้ามา ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ที่พรรคพลังประชาชนมีความเชี่ยวชาญ เรื่องการขนคนไปทำกิจกรรมทางการเมืองตามที่ต่างๆ จึงคิดเอาเองว่าการชุมนุมที่มีประชาชนมาร่วมชุมนุมจำนวนมาก น่าจะมีการว่าจ้างคนให้มาร่วมชุมนุม
“จิ๋ว” เหน็บ “หมัก” ไม่ทิ้งเก้าอี้
ด้าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีวิทยุ 105.5 ในรายการลับลวง พราง เรดิโอ ถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล จนทำให้คณะรัฐมนตรีหนีออกจากทำเนียบฯกันหมดว่า เดี๋ยวเขาก็กลับมา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นคนมีประสบการณ์สูง ท่านจะต้องทำงานของท่านต่อไป คงไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องของประชาชนต้องการอย่างไร คิดว่าท่านคงจะต้องรับฟังและคงไม่มีเบื้องหลังอะไร คงจะเป็นแบบใครอยากจะยึดก็ยึดไปมากกว่า ส่วน พล.ต.จำลอง มีประสบการณ์สูง จิตใจแน่วแน่ เข้มแข็งไม่ต้องห่วง ประเทศเรามีแต่คนดีกัน ทั้งนี้ เพียงแต่ว่าให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากันเท่านั้น อยากจะเตือนไปยังกลุ่มพันธมิตรในเรื่องความรุนแรง เราไม่อยากเห็น แม้กระทั่งหยดเลือดแค่หยดเดียว
“พัลลภ” รับมี จปร.7 ร่วมวางแผน
ส่วน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ที่กล่าวในรายการเดียวกัน โดยชมการบุกยึดทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า เป็นการวางแผนและการนำที่ดี พล.ต. จำลองเก่งในเรื่องนี้ ใช้กลยุทธวิธีในการรุกและรับ ถือเป็นจุดที่ทำให้เกิดความสำเร็จ ซึ่งมาจากการวางแผนของ พล.ต.จำลอง ส่วน จปร. 7 คนอื่นก็มีบางคนที่ไปร่วมด้วยแต่ไม่ใช่ตน ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯคงจะชุมนุมไปจนกว่าจะได้ชัยชนะ ส่วนนายสมัครก็มองว่า เป็นคนที่ไม่ยอมอะไรง่าย แต่อยู่ที่ความอดทนใครจะมากกว่ากัน และการที่นายสมัครเข้าหาฝ่ายทหารก็ถือเป็นการสร้างภาพอย่างหนึ่ง ในสถานการณ์แบบนี้ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ทหารจะเป็นปัจจัยหลักในการเข้ามาแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ทหารไม่ยึดติดกับตัวบุคคล ยึดถือชาติ ศาสนา พระมหา?กษัตริย์ คิดถึงชาติ ความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก ตนกล้ายืนยันแทน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. คนปัจจุบันได้ คิดว่า พล.อ.อนุพงษ์ก็เป็นเช่นนี้ ท่านทำตามหน้าที่ พอถึงจุดหนึ่งท่านจะเลือกอยู่ข้างประชาชน อุ่นใจได้ ท่านจะไม่ยึดติดตัวบุคคล
“จิ๋ว” แขวะให้ชุมนุมยึดเก้าอี้นายกฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในวันเดียวกัน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง หลังเป็นประธานการประชุมใหญ่ ศูนย์กลางประสานงานภาคใต้ของอาสาสมัครแจ้งข่าวอาชญากรรมศูนย์นครศรีธรรมราช อ.เมืองนครศรีธรรมราช โดยกล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่า ดีใจที่เหตุการณ์เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงและไม่เกิดการสูญเสียเกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่วันนี้การประท้วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนที่ใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องชี้วัด และถ้าให้ ประเมินสถานการณ์ คิดว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรง ส่วนข้อยุติหรือทางออกในเรื่องนี้ มองว่าคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลุ่มพันธมิตรฯก็คงไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลได้ การยกพลไปบุกทำเนียบ ตนไม่เข้าใจว่าไปทำไม วันนี้หากกลุ่มพันธมิตรฯอยากจะชนะก็จะต้องยกระดับการชุมนุมให้มีระดับมากกว่านี้ ไม่ใช่มาตะโกนปาวๆ ว่าคนนั้นออกคนนี้ออก แล้วจะให้มาเป็นการชุมนุมต้องยกระดับการเรียกร้องให้รัฐบาลทำงานให้ประชาชนเต็มที่ ให้ผลประโยชน์ตกแก่ประชาชนให้มากที่สุด ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการได้มีส่วนร่วมในการบริหารจนรู้สึกได้ว่านี่คือประเทศของเขาด้วย และการที่กลุ่มพันธมิตรฯบุกไปที่ทำเนียบคงจะไม่ได้ผล พร้อมพูดประชดประชันว่า ทำไมไม่บุกเข้าไปยึดที่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเสียเลย
ชี้ปัญหาชาติเกิดเพราะมิจฉาทิฐิ
พล.อ.ชวลิตยังกล่าวถึงปัญหาของชาติบ้านเมืองว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น จะโทษใครเป็นต้นเหตุของปัญหา เพราะที่ผ่านมามีม็อบมาขับไล่โค่นล้มรัฐบาล พรรคการเมือง นายกรัฐมนตรี คณะรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ก็แก้ปัญหากันไม่ตก มีแต่ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งมาถึง 76ปีแล้ว แสดงว่าเราเข้าใจผิด อย่างเช่นปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก และยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ในที่สุดก็ค้นพบว่า ระบอบเลว คนดี ระบอบเลวคือระบอบเผด็จการรัฐสภา ตนพยายามชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบมาตลอด แต่ก็ยังเข้าใจยาก และไม่รู้เรื่องจนหาว่าตนพูดไม่รู้เรื่อง ซึ่งหากตนไม่รู้เรื่องตนจะพูดออกมาได้อย่างไร ซึ่งต่อมาตนพบว่าต้นเหตุที่คนมองไม่เห็นว่าระบอบเลว หรือระบอบผิด เพราะมีอีกสิ่งหนึ่งมาบดบังไว้นั่นก็คือ ความเห็นผิด หรือมิจฉาทิฐิ ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ คือเห็นว่าระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นระบอบดี หรือเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วเนื่องจากเห็นผิดว่าลัทธิรัฐธรรมนูญคือลัทธิประชาธิปไตย ซึ่งจะต้องแก้ปัญหาให้ทิฐิถูกเสียก่อน ด้วยการเปลี่ยนความเห็นให้ถูกตามจริงว่า ระบอบเผด็จการรัฐสภาไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย หรือลัทธิรัฐธรรมนูญไม่ใช่ลัทธิประชาธิปไตย
แก้ให้ถูกจุด ทหารไม่ยึดอำนาจ
ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิตกล่าวในตอนท้ายด้วยว่า ปัญหาของประเทศไทยทั้งหมดคือ ระบอบเลว คนดี ทิฐิผิด เมื่อรู้เช่นนี้ก็แก้ไขปมปัญหาทีละเปลาะ ก็จะสามารถแก้ปัญหา บ้านเมืองได้สำเร็จ เมื่อมองปัญหาถูกก็ไม่ต้องมาโทษกันอีกต่อไป ถ้าบรรดาพรรคการเมืองเห็นถูกเช่นนี้ และลงมือแก้ไข ทหารก็จะกลับเข้ากรมกองไม่ต้องออกมายึดอำนาจกันอีกต่อไป หมดสิ้นกันเสียทีวงจรอุบาทว์หรือลัทธิสลายชาติ และหากกองทัพแห่งชาติเห็นถูกว่าระบอบเลว ทิฐิผิด ก็ลงมือแก้ไขทำให้เสร็จ ตัดไฟแต่ต้นลม
ยกพระราชดำรัสในหลวงเตือนสติ
ต่อมาในช่วงบ่าย พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษก ตร. แถลงภายหลัง พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 ร่วมหารือประเมินสถานการณ์ พร้อมปรับเปลี่ยนแผนรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุม หลังกลุ่มพันธมิตรฯเคลื่อนขบวนมาปักหลักบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล พร้อมวางมาตรการดูแลความปลอดภัยจัดกำลังตำรวจทุกหน่วยตรึงกำลังดูแลเต็มที่ ห้ามไม่ให้มีการบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล และป้องกันมือที่สามเข้ามาแทรกแซงก่อความไม่สงบเรียบร้อย โดยก่อนการแถลงข่าว พล.ต.ต.สุรพลได้นำพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2535 ความตอนหนึ่งว่า “ประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่าบ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง”
ติงกลุ่มชุมนุมอย่าเห็นผู้อื่นไม่ใช่คน
จากนั้น พล.ต.ต.สุรพลกล่าวว่า หลังจากผ่านความตึงเครียดของกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งแต่ช่วงเวลา 12.00-16.00 น. มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ คือ ส.ต.ต.หญิง พรพิรุณ โตกำจร ผบ.หมู่ บก.สอ.บช.ตชด.ค่ายนเรศวร แขนขวาหัก จ.ส.ต.พจนา แก้วเกษศรี ผบ.หมู่ บก.สอ. บช.ตชด. ค่ายนเรศวร ข้อศอกซ้ายแตก จ.ส.ต.คมสัน ศรีคำ ผบ.หมู่ ป.สน.บางนา และ จ.ส.ต.ศราวุธ เลิศพร ผบ.หมู่ ป.สน.ลุมพินี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย รวมถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งส่วนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกไว้เองและนักข่าวบันทึกไว้ รวมถึงสอบปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งหลังจากรวบรวมพยานหลักฐานพร้อมสมบูรณ์ จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ส่วนการดูแลผู้ชุมนุมนั้น ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องสกัดกั้นมายังทำเนียบฯ จึงปรับลดกำลังลงครึ่งหนึ่ง และยืนยันว่าจะไม่มีการสลายการชุมนุมอย่างเด็ดขาด พร้อมกันนี้ ก็ได้ฝากเตือนไปถึงผู้ชุมนุมด้วยว่า ไม่อยากให้มีการกระทำใดๆ ที่เป็นการรบกวน หรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดย เฉพาะอย่างยิ่งการตั้งด่านตรวจรถ เพราะว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือขอความกรุณาอย่าใช้ลำโพง หรือชี้หน้าต่อว่าข้าราชการผู้หนึ่งผู้ใดในทำเนียบรัฐบาลอย่างที่ทำที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนข้าราชการก็เป็นมนุษย์ มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และได้รับรองตามรัฐธรรมนูญทุกคน การที่เอาลำโพงหันเข้าและนิ้วชี้ไปที่บุคคลนั้นแล้วไล่ประหนึ่งเขาไม่ใช่มนุษย์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำและไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก
ปิดถนนตั้งเวทีใหม่กลางสะพาน
ส่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ตลอดวันที่ 21 มิ.ย. หลังจากที่ย้ายจากสะพานมัฆวานรังสรรค์มายังหน้าทำเนียบรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว โดยบริเวณถนนพิษณุโลกตั้งแต่แยกสวนมิสกวัน หน้าทำเนียบรัฐบาล จนถึงแยกนางเลิ้ง กลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 2 พันคน ได้ปักหลักยึดพื้นที่ ใช้แผงเหล็กกั้นทางเข้าออกบริเวณแยกมิสกวัน ส่วนทางด้านแยกนางเลิ้งใช้แผงเหล็กและรถหกล้อใหญ่ของกองทัพธรรมปิดกั้นอีกชั้นหนึ่ง ขณะที่ทางด้านถนน พระรามห้าและถนนเส้นนครปฐมที่เลียบหน้าวัดเบญจมบพิตรฯ ผ่านเข้าเส้นถนนพิษณุโลกหน้าทำเนียบฯ กลุ่มผู้ชุมนุมได้นำแผงเหล็กมาตั้งกั้นไว้เช่นกัน ส่วนเวทีถูกตั้งอยู่บนสะพานชมัยมรุเชฐ โดยเวทีดังกล่าวถูกออกแบบตั้งเป็นรูปตัวที เพื่อต้องการให้กลุ่มผู้ชุมนุมทั้งฝั่งแยกมิสกวันและแยกนางเลิ้งได้เห็นและรู้กิจกรรมต่างๆบนเวทีพันธมิตรตลอดทั้ง 2 ฝั่ง
ชุมนุมเพลียก็นอนเมื่อยก็นวด
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า กลุ่มผู้ชุมนุมกองทัพธรรมได้ตั้งเต็นท์โรงทานบริเวณตรงข้ามประตู 4 ของทำเนียบรัฐบาล เพื่อใช้เป็นที่ปรุงอาหารมังสวิรัติและน้ำดื่มให้แก่ กลุ่มผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ ผ่านมา ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมยังมีอาการอ่อนเพลีย บางรายแยกตัวไปหาที่หลบมุมเพื่อพักผ่อนใต้ต้นมะขาม บางรายก็พากันไปนวดตัวเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า โดยมีหมอนวดแผนโบราณบริการนวดให้ฟรี ซึ่งมีผู้ไปใช้ บริการเป็นจำนวนมาก
โวทำสำเร็จเคลื่อนพลอย่างสงบ
ขณะเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่บริเวณด้านข้างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม-การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถนนนครปฐม กล่าวว่า เมื่อวานนี้ที่นำกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนจากสะพานมัฆวานฯ เดินทางไปยังหน้าทำเนียบฯ เพื่อกดดันให้รัฐบาลลาออก ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯได้ทำตามแถลงการณ์ไว้กับสื่อมวลชนตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าจะเคลื่อนขบวนอย่างสันติ สงบ และอหิงสา ไม่มีการพกอาวุธ และแสดงกิริยาที่ไม่สุภาพใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งการเดินทางของพวกตน ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ตามที่คาดการณ์ไว้
ไม่เชื่อสภาแก้วิกฤติชาติได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่แกนนำของกลุ่มพันธมิตรฯประกาศขีดเส้นตายให้รัฐบาลชุดนี้ลาออกภายใน 48 ชั่วโมงนั้น กลุ่มพันธมิตรฯ มีการประเมินอย่างไรบ้าง พล.ต.จำลอง กล่าวว่า พวกเราคงทำได้เพียงคร่าวๆ ไม่สามารถไปกำหนดกฎเกณฑ์ได้ เพราะพวกเราทำตามสถานการณ์ แล้วสถานการณ์อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ ก็ต้องรอดูว่ารัฐบาลจะทำตามข้อเรียกร้องหรือไม่ คือ ยุติความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 และรัฐบาลต้องลาออกไปทั้งคณะ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า วันนี้ประธานสภาบรรจุญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจลงในระเบียบวาระการประชุม ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดว่านายกฯจะยุบสภาและลาออกไม่ได้ กลุ่มพันธมิตรฯจะดำเนินการอย่างไร พล.ต.จำลองกล่าวว่า เรื่องสภาก็เป็นเรื่องของรัฐสภา แล้วสภาก็ทำตามหน้าที่ของสภา แต่ในส่วนตัวแล้วเห็นว่าวิกฤติบ้านเมืองนั้นไม่เคยแก้ไขในสภาให้สำเร็จได้เลย แต่ถ้านายกฯ จะลาออกจริงก็ทำได้เช่นกัน แล้วกลุ่มพันธมิตรก็ขอยืนยันว่าจะทำตามหน้าที่ที่ปรากฏในมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญปี 50 เหมือนเดิม
ไม่ไปไหนจนกว่าได้ตามเรียกร้อง
ต่อข้อถามว่า การชุมนุมปักหลักของกลุ่มพันธมิตรฯ จะมีการยืดเยื้อหรือไม่ พล.ต.จำลองกล่าวว่า ตอนนี้ยังคาดเดาไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อาจจะมีสถานการณ์อะไรเพิ่มเติมได้ แล้วขอยืน ยันว่าจะดำรงตามมุ่งหมายเดิม พวกเราก็ไม่ใช่เป็นคนสร้างสถานการณ์ แต่ฝ่ายรัฐบาลต่างหากที่พยายามสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เช่น กุข่าวว่ามีการเคลื่อนย้ายอาวุธร้ายแรงเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ รัฐบาลทำเช่นนั้นก็เพื่อจะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะจัดการกับการชุมนุม แต่มันก็ล้มเหลว เพราะไม่มีใครเชื่อ ส่วนวัตถุประสงค์ในการเคลื่อนย้ายมายังทำเนียบฯ เนื่องจากพวกเราอยู่ที่สะพานมัฆวานฯ เป็นเวลานานแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ได้จัด การอะไรเลย พวกเราก็ต้องมาบอกรัฐบาลให้ใกล้ที่สุดเท่านั้น ต่อข้อถามอีกว่า ทางรัฐบาลได้ส่งคนมาเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯหรือไม่ พล.ต.จำลองกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีใครมาเจรจากับพวกเราเลย แล้วก็ไม่คิดว่าทางรัฐบาลจะส่งคนมาเจรจาด้วย แต่ถ้ามาเจรจาได้ ก็คงไม่เคลื่อนขบวนไปไหน จนกว่าจะได้สิ่งที่เรียกร้องทั้งหมด
ปิดกล้องวงจรปิดของตำรวจ
จากนั้นตลอดช่วงบ่ายถึงเย็น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พอแดดร่มลมตกก็มีประชาชนจำนวนมากทยอยเข้ามาปักหลักฟังคำปราศรัยของบรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ จนเกือบเต็มพื้นที่ ตั้งแต่บริเวณสี่แยกสนามม้านางเลิ้ง ไปจนถึงบริเวณแยกมิสกวัน ขณะเดียวกัน บนเวทีก็มีการแสดงดนตรีสลับอภิปรายโจมตีการทำงานของรัฐบาล นอกจากนี้ กลุ่ม รปภ.ของพันธมิตรฯ ได้ปิดกล้องวงจรปิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยสอดส่องดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งหมดทั่วบริเวณถนนพิษณุโลกและรอบทำเนียบรัฐบาลทุกด้าน ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้ออกตรวจตราความเรียบร้อย และพบรถสุขาไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ชุมนุม ซึ่งจะ ขอ กทม.ให้จัดรถมาเพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการ
สุริยะใสยํ้าชุมนุมยืดเยื้อ
ต่อมาเวลา 17.50 น. นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ได้กล่าวถึงแนวทางการเคลื่อนไหวหลังจากที่มาปักหลักชุมนุมกันที่หน้าทำเนียบ รัฐบาล โดยย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือชัยชนะของประชาชน ไม่ใช่ การเมืองข้างถนน หรือพวกก่อความวุ่นวายอย่างที่รัฐบาลกล่าวหา เป็นการสถาปนาพลังประชาชน เป็นพลังบริสุทธิ์ที่จะบอกกล่าวว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหมดความชอบธรรมแล้ว ยุทธศาสตร์ดาวกระจายหรือสงครามเก้าทัพ เป็นยุทธการที่ยึดหลักสันติวิธีอย่างเคร่งครัด และแนวทางการชุมนุมจากนี้ไปจะใช้วิธีปักหลักชุมนุมยืดเยื้อเช่นเดียวกับที่สะพานมัฆวานฯ แต่ยังไม่มีการบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลแน่นอน เพราะจุดยืนของพันธมิตรฯ ไม่ต้องการเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล แต่จะพยายามตรึงพื้นที่บริเวณถนนพิษณุโลกทั้งหมด
ชี้นายกฯกลับกลอกเพราะจวนตัว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเจรจากับฝ่ายรัฐบาล นายสุริยะใสกล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ อย่างวันนี้ที่รัฐบาลเกิดกลับใจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจให้ ส.ว.และ ส.ส.ได้ในวันที่ 23 และ 24 มิ.ย.นี้ ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการรัฐสภานั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ต่อไป ท่าทีที่กลับกลอกของนายกรัฐมนตรี ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลจวนตัวแล้ว ตนคิดว่ามันสายเกินไปแล้ว แม้ว่าจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจมันก็ไม่เกี่ยวกับพันธมิตรฯ เพราะพันธมิตรฯไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้มานานแล้ว ฉะนั้น ทางออกที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือรัฐบาลต้องลาออกไป รัฐบาลต้องการเปิดสภาเพื่อให้ประชาชนเชื่อว่าเขาเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาฯ เพื่อดิสเครดิต ทำให้ ความชอบธรรมของผู้ชุมนุมต่ำลง ฉะนั้น เชื่อว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่เป็นทางออกของรัฐบาล
“สมชาย-เลี้ยบ” ก็ร่างทรงทักษิณ
นายสุริยะใสกล่าวว่า ตราบใดก็ตามที่พรรคพลังประชาชนภายใต้ระบอบเอาทักษิณคืนมา แรงต่อต้านก็ คงอยู่ เชื่อว่าพันธมิตรฯก็จะชุมนุมอยู่ เพราะตนไม่รู้ว่าจะอธิบายประชาชนอย่างไร หรือจะให้บอกว่ากลับบ้านกันเถอะ สมมติว่าได้นายกฯชื่อสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ทุกคนเชื่อแล้วว่าคนเหล่านี้คือระบอบทักษิณ และจากนี้ไปก็อาจจะใช้ยุทธวิธีดาวกระจายไปที่พรรคชาติไทยบ้าง แต่ยังไม่แน่นอน เพราะต้องเข้า ที่ประชุมแกนนำก่อน แต่คิดว่านายบรรหารน่าจะมีมโนสำนึกบ้างว่าบ้านเมืองเกิดวิกฤติอย่างนี้แล้วน่าจะทำอะไรเพื่อชาติบ้าง จริงๆแล้วพรรคร่วมมีศักยภาพพอที่จะปลดชนวนตรงนี้ได้ ถ้าหากไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน สุด ท้ายแล้ว ถ้าการเมืองถึงจุดทางตันพรรคร่วมรัฐบาลจะปฏิเสธว่าพาคนไปตายไม่ได้ ข้อหาพาคนไปตายของพันธมิตรฯจบไปแล้ว เพราะเมื่อวานไม่มีใครตาย เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 4 ราย และเราได้ไปเยี่ยมและมอบเงินส่วนหนึ่งเป็นค่าพยาบาลให้ และพันธมิตรฯเจ็บร่วม 10 คน แต่จะไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนในวันเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจจะมีการเคลื่อนขบวนไปที่หน้ารัฐสภาหรือไม่นั้น ต้องประชุมกับแกนนำก่อนว่าจะเอา อย่างไร เพราะการเคลื่อนไหวต่างๆ จะต้องเป็นมติของที่ประชุมพันธมิตรฯก่อน นอกจากนี้ ตนยังได้รับทราบจากแหล่งลงข่าวระดับสูงอีกว่าขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้ลงนามใน พ.ร.ก.ภาวะฉุกเฉินแล้ว
ผบช.น.เชื่อชุมนุมอยู่ไม่เกิน 1 เดือน
ต่อมาในช่วงค่ำ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. เดินทางมาตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจภายในทำเนียบรัฐบาล และสั่งการให้ตั้งเต็นท์อาหารไว้เลี้ยงเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่มาปฏิบัติหน้าที่อย่างทั่วถึง จากนั้นก็ให้สัมภาษณ์ว่ามั่นใจว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นนองเลือด เพราะที่ผ่านมาพยายามเจรจากับแกนนำพันธมิตรฯตลอด ซึ่งทุกคนก็พูดรู้เรื่อง ยกเว้นอยู่คนเดียวที่พูดไม่รู้เรื่อง เชื่อว่าการชุมนุมคงไม่ยืดเยื้อให้เวลาเต็มที่ คงไม่เกิน 1 เดือน เนื่องจากขณะนี้มีประชาชนที่ไม่พอใจ การกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับการเอาผิดกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทำร้ายตำรวจบาดเจ็บ 4 นายนั้น ยืนยันว่า จะต้องดำเนินคดีแน่นอน ส่วนปัญหาการชุมนุมที่จะส่งผลกระทบต่อการเรียนของโรงเรียนรอบทำเนียบรัฐบาลนั้น ถ้าเป็นไปได้ขอให้ผู้ปกครองพาลูกหลานนำดอกบัวไปกราบแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ แล้วบอกว่า หนูอยากเรียนหนังสือ ไม่อยากเป็นคนโง่ หากกลุ่มพันธมิตรฯยังนิ่งเฉย อยากปล่อยให้ลูกหลานเป็นคนโง่ก็ตามใจ และหากในวันที่ 24 มิ.ย. กลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่ยุติการชุมนุมก็ถือว่าไม่มีเหตุผล และก็ให้บอกมาว่า อยากให้ใครเป็นนายกฯ ตนจะอาสาไปบอกนายสมัครให้ ซึ่งที่ผ่านมาได้หารือกับนายกรัฐมนตรีมาตลอดถึงเรื่องสถานการณ์การชุมนุม ซึ่งนายกฯแสดงความเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ไม่อยากให้คนแค่หมื่นคนมาปกครองประเทศ
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์