วันนี้ (21มิ.ย.51) นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงกำลังเตรียมทำสมุดปกขาว ชี้แจงข้อเท็จจริง และการดำเนินการที่ผ่านมาของกระทรวงการต่างประเทศ ในเรื่องการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลไทยได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เพื่อให้สาธารณชนรับทราบเรื่องทั้งหมดในเร็วๆ นี้
ปลัดกระทรวง กล่าวว่าการเจรจากับกัมพูชาที่ผ่านมา มีการทำเป็นขั้นตอน และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ จนถึงระดับสูง ในที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก่อนจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมตรี (ครม.) กระทรวงต่างประเทศไม่ใช่หน่วยงานเดียวที่เจรจากับกัมพูชา แต่ทำงานใกล้ชิดกับทหาร ทั้งกองบัญชาการทหารสูงสุด และกรมแผนที่ทหาร
“ต้องให้เครดิตกับฝ่ายทหาร ที่ประสานงานแบบคู่ขนานไปกับฝ่ายทหารกัมพูชาด้วย ผมขอเรียกว่าเป็นการเจรจาแบบกำปั้นเหล็กในถุงมือแพร คือกระทรวงต่างประเทศและทหาร ร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิด เห็นได้ว่าทหาร และกระทรวงเห็นตรงกัน ยืนยันว่าหน่วยงานความมั่นคงของเราทำงานอย่างต่อเนื่อง และเต็มที่ เพื่อรักษาอธิปไตยของไทย ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศที่มีอยู่”
นายวีระศักดิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ ศ.ดร.อดุล วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลก ระบุว่าเคยเสนอให้ขึ้นทะเบียนร่วมระหว่างสองประเทศ ไม่เช่นนั้นไทยจะเสียดินแดนและอธิปไตย นายวีระศักดิ์กล่าวว่า เดิมระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-กัพมูชาในปี 2546 สองฝ่ายมีความเห็นว่า จะมีการพัฒนาเขาพระวิหาร จากนั้นในปี 2547 ไทยและกัมพูชาได้ไปจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อทำงานในเรื่องดังกล่าว ต่อมากัมพูชาได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเอง ซึ่งเมื่อไทยทราบว่า มีการจัดพื้นที่อนุรักษ์ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน เราจึงยื่นประท้วงกัมพูชาอย่างเป็นทางการ และเสนอให้มีการขึ้นทะเบียนร่วมกัน ซึ่งจะรวมพื้นที่โดยรอบ อาทิ สระตราว และพื้นที่อื่นๆ เข้าไปด้วย แต่กัมพูชานิ่งเฉย ต่อมาได้มีการแจ้งเป็นการภายในกับไทยว่า ขอให้แต่ละฝ่ายขึ้นทะเบียนมรดกโลก ในส่วนที่เป็นของแต่ละประเทศเอง
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์