ในที่สุดกลุ่มพันธมิตรฯก็ถึงวันดีเดย์ เคลื่อนพลออกจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ ในช่วงเที่ยงของวันที่ 20 มิ.ย. ยาตราทัพมายังทำเนียบรัฐบาล โดยใช้แผนยุทธการสงคราม 9 ทัพ มีการแบ่งการเคลื่อนกำลังเป็นหลายจุด กระจายกันมายังทำเนียบรัฐบาล มีการวางแผนใช้เส้นทางถนนหลายเส้น นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนใช้เรือท้องแบนเคลื่อนพลทางน้ำมาตามคลองผดุงกรุงเกษม หากถูกตำรวจสกัดกั้นตามเส้นทางปกติ โดยการเคลื่อนพลที่ใช้แผนยุทธการสงคราม 9 ทัพครั้งนี้ ทำเสมือนหนึ่งเป็นการไปสู้รบกับอริราชศัตรูสำคัญของชาติ
ติวเข้มชายฉกรรจ์ที่เป็นทัพหน้าลุย
สำหรับบรรยากาศที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 20 มิ.ย. ก่อนมีการเคลื่อนพลมีกลุ่มพันธมิตรฯ เดินทางมารวมตัวกันจำนวนมากและอย่างต่อเนื่อง ทำให้ บรรยากาศบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีความคึกคัก ส่วนเต็นท์และเวทีที่เคยใช้เป็นที่ปราศรัยยังไม่มีการรื้อถอนออกแต่อย่างใด ขณะเดียวกันบรรดาสาวกกองทัพธรรม ก็ยังคงปฏิบัติภารกิจทำอาหารเลี้ยงผู้ชุมนุมตามปกติ ส่วนที่หน้ากองทัพบก ได้มีชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายดูแลความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ซักซ้อมการเตรียมความพร้อมในการเป็นแนวหน้าของการเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบฯ โดยชายกลุ่มดังกล่าวจะมีสัญลักษณ์ผ้าพันคอสีเขียว โพกหัวด้วยผ้าเหลืองเขียนคำว่า “กู้ชาติ” และถือไม้ด้ามธงชาติติดตัวกันทุกคน
นปก.โจมตีพันธมิตรทำชาติป่นปี้
ในขณะที่ฝ่ายกลุ่ม นปก. ซึ่งต่อต้านกลุ่มพันธมิตรฯและมาปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณแยก จปร. จำนวนหนึ่ง ได้ใช้เครื่องขยายเสียงกล่าวโจมตีการกระทำของพันธมิตรอย่างรุนแรง โดยระบุว่าการกระทำของพันธมิตรสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติอย่างมาก แต่กลุ่มพันธมิตรฯไม่ ยอมโต้ตอบกลับมา ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯอีกกลุ่มภายใต้ การนำของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เดินทางมาปักหลักอยู่ที่บริเวณพระบรมรูปทรงม้า แต่ยังไม่สามารถเคลื่อนขบวนเข้าไปยังถนนราชดำเนินได้ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านสกัดอยู่ที่หน้ากองทัพภาคที่ 1 จึงเปลี่ยนแผนเคลื่อนขบวนเลี้ยวซ้ายไปยังแยกวัดเบญจมบพิตรฯ สมทบกับกลุ่มพันธมิตรฯอีกกลุ่มที่อยู่บริเวณดังกล่าว
เตรียมเคลื่อนพลทางน้ำหากถูกสกัดกั้น
ต่อมาเวลา 09.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้นำเรือไฟเบอร์ ท้องแบนจำนวน 10 ลำ ใส่รถ 6 ล้อ ของกองทัพธรรมมาจอดไว้ใกล้คลองผดุงกรุงเกษม เพื่อใช้เป็นพาหนะขนคนข้ามคลองหากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดไม่ให้เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลบนเส้นทางปกติได้ ส่วนที่บริเวณสะพานมัฆวานฯ ยังคงมีการปราศรัยบนเวทีอย่างต่อเนื่อง โดยบริเวณเชิงสะพาน มีตำรวจตรึงกำลังอย่างแน่นหนาถึง 2 ชั้น โดยมีรถตำรวจและรถดับเพลิงจอดขวางอยู่ ตร.ตรึงกำลังรอบทิศทางถนนเข้าทำเนียบ ขณะที่บรรยากาศบริเวณรอบนอก ช่วงเช้าวันเดียวกัน ถนนทุกเส้นที่ผ่านเข้าทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม หน้าวัดมกุฏฯ ถนนพระราม 5 และถนนนครปฐม หน้าวัดเบญจมบพิตรฯ บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถนนพิษณุโลกบริเวณสี่แยกมิสกวัน เจ้าหน้าที่ ตำรวจใช้แผงเหล็กปิดกั้นตลอดแนวพร้อมยืนตรึงกำลังไว้ไม่ยอมให้ยวดยานต่างๆ และบุคคลภายนอกกล้ำกรายเข้ามาอย่างเด็ดขาด
ฝันรัฐบาลต้องลาออกเร็วๆนี้
ก่อนเคลื่อนพลในเวลา 10.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ย้ำถึงจุดยืนของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า การ เดินทางไปทำเนียบจะไม่เข้าไปบุกยึดทำเนียบ จะไม่ด่าทอ ยั่วยุเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่เอาหนังสติ๊กไปยิงหัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่เอาก้อนหินไปปา เข้าใจว่าจะต้องมีพวกนรก ป่วนกรุงเข้ามา ทำให้ประชาชนหมดความน่าเชื่อถือ ใครก็ตามที่ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับเรา ถึงแม้ว่าจะแต่งกายเหมือนเรา ใส่เสื้อเหลือง ผูกผ้าพันคอกู้ชาติ แต่หากพกพาอาวุธเข้ามาปะปนในกลุ่มพันธมิตรฯ ถือว่ากลุ่มดังกล่าวไม่ใช่ พวกเรา ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้เลย การเดินขบวน เมื่อเผชิญหน้ากับตำรวจก็จะยิ้มให้ และไม่ใช้ความรุนแรง ใดๆทั้งสิ้น กลุ่มพันธมิตรฯได้เตรียมแผนการรองรับเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะปักหลักอยู่ที่ใด เชื่อว่าต้องทำสำเร็จแน่นอน รัฐบาลต้องลาออกภายใน 1-2 วันนี้
มีไม้เบสบอล-ท่อนเหล็กป้องกันตัวเอง
พล.ต.จำลองยืนยันว่า ที่ชุมนุมไม่มีการซ่องสุมอาวุธปืนตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กล่าว แน่นอน แม้จะออกมาบอกว่ามี จปร. รุ่น 7 เป็นผู้ให้ข่าวก็ตาม คิดว่า ร.ต.อ.เฉลิมคงเห็นว่าตนก็อยู่รุ่น 7 เหมือนกัน จึงทำให้ประชาชนเชื่อว่าตนรู้เห็นเป็นใจด้วย เมื่อไปถาม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ท่านก็บอกว่าไม่มี เห็นได้ชัดว่า ต้องการสร้างกระแสความรุนแรง ปั่นป่วนบ้านเมืองให้ วุ่นวาย หากมีอาวุธจริงคงไม่ใช่กลุ่มพันธมิตรฯ คงเป็นพวก นรกป่วนกรุง ส่วนที่รัฐบาลนำภาพกลุ่มผู้ชุมนุมไปเผยแพร่ มีอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นไม้เบสบอล ท่อนเหล็ก ยอมรับว่า มีจริง แต่ทั้งนี้ไม่ได้นำสิ่งดังกล่าวมาใช้เป็นอาวุธ แต่มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถรักษาความปลอดภัยให้กับกลุ่มพันธมิตรฯได้
อ้างการเดินขบวนเป็นการเดินมหากุศล
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ออกมาเสนอว่า ให้รัฐมนตรีลาออก กลุ่มพันธมิตรฯ จะ ดำเนินการอย่างไร แกนนำพันธมิตรฯกล่าวว่า ไม่ทราบ กลุ่ม พันธมิตรฯได้ตัดสินใจเดินหน้าต่อ เพราะเราเรียกร้องมา นานแล้ว หากปล่อยให้รัฐบาลอยู่นานกว่านี้ จะสร้างเรื่อง แย่ๆเพิ่มมากขึ้น เช่น เรื่องเขาพระวิหารที่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ถือว่าขายอธิปไตยของชาติให้ต่างชาติ ไปแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า เตรียมเรือท้องแบนไว้เพื่อเดินทาง ไปยังทำเนียบใช่หรือไม่ แกนนำพันธมิตรฯตอบว่า เตรียมไว้ก่อน อาจใช้เดินทางไปยังฝั่งทำเนียบ การเคลื่อนย้าย วันนี้ไม่ว่าจะเคลื่อนย้ายหรือไม่เคลื่อนย้าย จะไปได้ไกลแค่ไหน เข้าใกล้ทำเนียบแค่ไหนก็แค่นั้น แต่เราก็ประสบผลสำเร็จแน่นอน วันนี้การเดินขบวนถือเป็นการเดินมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ และประวัติการณ์
อ่านแถลงการณ์แสดงพลัง
ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 14/2551 เรื่องดำรงความสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ ระบุว่า การชุมนุมของกลุ่ม พันธมิตรฯได้ชุมนุมติดต่อกันเป็นเวลา 27 วัน แต่รัฐบาลก็ยังไม่ได้ดำเนินการหยุดการแก้ไขรัฐธรรมนูญและลาออก แต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนจึงต้องแสดงพลังครั้ง ยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล ด้วยความสงบ อหิงสา เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า พันธมิตรฯจะไม่บุก ไม่เข้ายึด แม้ตำรวจจะเปิดประตู แต่หากการเคลื่อนขบวนนั้นได้ติดอุปสรรคกีดขวางโดยเจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มผู้ชุมนุมก็จะแสดงรอยยิ้ม ไม่ด่าทอ ไม่ยั่วยุ และจะไม่ใช้อาวุธใดๆทั้งสิ้น
“อัศวิน” วอนกลุ่มชุมนุมให้เห็นแก่ชาติ
ในขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรเตรียมตัวเคลื่อนขบวนนั้น ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการเสริมกำลังจากหน่วยต่างๆ ทุกหน่วยมารักษาความปลอดภัยการชุมนุม โดยเฉพาะตามแยกต่างๆ รวม 8 แยก โดยมีนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการประจำจุด คอยบัญชาการเหตุการณ์ นอกจากนี้ ยังมีกำลังสำรอง หากซึ่งเข้าไปประจำอยู่ในกองทัพภาคที่ 1 อีก 5 กองร้อย หรือเกือบ 1 พันนาย โดยเฉพาะบริเวณแยก จปร. ซึ่งเป็นจุดกั้นระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 กลุ่ม พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.ที่เดินทางมาควบคุมสถานการณ์กล่าวว่า อยากวิงวอนไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมให้ช่วยกันรักษาสถานภาพของประเทศชาติไว้ ต้องการให้มีการสมานฉันท์ ตำรวจไม่อยากให้มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆเกิดขึ้น เพราะเราล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทุกคน
จำลองนำพันธมิตรล้อมตำรวจ
จนเวลา 11.50 น. พล.ต.จำลองเดินนำหน้าชายฉกรรจ์ผ้าพันคอเขียวและกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 300 คน ออกจากสะพานมัฆวานฯไปตามถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ไปถึงบริเวณซอยวัดโสมนัสราชวรวิหาร ซึ่งเป็นจุดแรกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล ประมาณ 200 คน ยืนตั้งแถวพร้อมโล่ป้องกัน จากนั้น พล.ต.จำลองสั่งให้กลุ่มผู้ชุมหยุดขบวนและนั่งลงกับพื้น พร้อมประกาศว่าอย่าด่าทอ อย่าทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยิ้มให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะเดียวกัน ฝั?งตรงข้ามก็มีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 300 คน เดินจากสนามม้านางเลิ้งเข้ามาสมทบ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มดังกล่าวตกอยู่ในวงล้อมของพันธมิตรฯ
กรูทลายกำแพงตำรวจเพื่อแหวกทาง
เวลา 12.05 น. กลุ่มผู้ชุมนุมจากสนามม้านางเลิ้ง กลุ่มดังกล่าวกรูเข้าไปดึงเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมา ทำให้ กลุ่มตำรวจเสียรูปขบวน กลุ่มของ พล.ต.จำลอง จึงทลายกำแพงของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ชั่วครู่ ก็สามารถแหวกทางออกไปได้ จากนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมตั้งขบวนเลี้ยวซ้ายไปถนนนครสวรรค์ ตรงไปสี่แยกสนามม้านางเลิ้ง โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมอีกหลายพันคนเดินตามมาสมทบ กระทั่งเดินถึงสี่แยกสนามม้านางเลิ้ง ก็เจอกับแผงเหล็กกั้นไว้ตลอดแนว โดยมี ตชด.และตำรวจปราบจลาจลตั้งกำแพงมนุษย์ 5 ชั้นหลังแผงเหล็กป้องกันไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯเล็ดลอดเข้าไปยังทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้น พล.ต.จำลองได้ขึ้นไปบนเวทีเคลื่อนที่ของรถหกล้อ ปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล โดยมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 2 แกนนำตามมาสมทบ พร้อมกับประกาศยึดพื้นที่และนำเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่มาติดตั้งเปิดการปราศรัย ในขณะที่อาสาสมัครพันธมิตรฯและผู้ชุมนุมบางส่วนต้องคอยยืนประจันหน้ากับตำรวจที่ตั้งด่านสกัดกั้นไว้บริเวณนางเลิ้ง แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆเกิดขึ้น โดย พล.ต.จำลองได้ขอให้ผู้ชุมนุมนั่งลงกับพื้นถนนอย่างสงบเรียบร้อย
อีกด้านหนึ่ง นายสมศักดิ์ โกยสุข ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากที่ตั้งเดินเท้าเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ผ่านหน้าวัดมกุฏกษัตริยาราม เลี้ยวขวาเข้าถนนประชาธิปไตย ผ่านคุรุสภา เลี้ยวขวาเข้าแยกวังแดง ก็เจอกับกำแพงเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตั้งแถวสกัดกั้นอยู่ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเข้าเจรจาขอเปิดทางประมาณ 15 นาที โดยเข้าไปผลักแผงเหล็กที่กั้นและยื้อยุดอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจครู่ใหญ่ ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะสามารถฝ่าแนวผ่านไปอย่างง่ายดาย
หาญกล้ายืนตัดโซ่รัดแผงเหล็กเย้ย ตร.
ส่วนที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งได้กรูเข้าตัดโซ่ที่ร้อยรัดแผงเหล็กของตำรวจ ที่ทำเป็นแนวกั้นไว้จำนวน 2-3 จุด บริเวณหลังเวทีปราศรัย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แต่งกายในชุดปราบจลาจลเตรียม พร้อมปฏิบัติการอย่างเข้มข้นหากเกิดเหตุรุนแรงขึ้น ยืนสงบนิ่งมองดูผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรฯตัดโซ่เหล็กออกไปอย่างง่ายดาย พร้อมตรึงกำลังประจันหน้ากัน ขณะที่ตำรวจนำรถ 6 ล้อ ขังผู้ต้องหามาจอดขวางไว้หลายคันทำเป็นแนวกั้นอีกชั้น
บุกตะลุยยึดพื้นที่ถนนพิษณุโลก
กระทั่งเวลา 14.47 น. กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งสามารถยึดพื้นที่บนถนนพิษณุโลกหน้าทำเนียบรัฐบาลได้แล้ว ได้รวมตัวกันผลักดันรถขังผู้ต้องหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จอดปิดทางเข้าบริเวณถนนนครปฐมเลียบคลองตลอดหน้าทำเนียบ เพื่อเปิดทางให้รถกระจายเสียงที่มีนายสมศักดิ์โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ยืนอยู่บนรถเคลื่อนที่เข้ามายังถนนพิษณุโลก และจอดปักหลักที่เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องดังกึกก้องของผู้ชุมนุม ที่สามารถนำรถกระจายเสียงเข้าพื้นที่ชุมนุมได้ นอกจากนี้กลุ่มผู้ชุมนุมยังได้รวมตัวกันเดินข้ามสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ซึ่งมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลยืนรักษาการณ์โดยไม่มีการขัดขวางแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ยังเปิดให้ผู้ชุมนุมที่รวมตัวบริเวณถนนพิษณุโลกข้ามสะพานชมัยมรุเชษฐ์เดินไปสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ติดการสกัดแผงเหล็กของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณแยกนางเลิ้ง
ฝ่าทุกด่านเข้าไปล้อมทำเนียบได้สำเร็จ
ต่อมาที่จุดสกัดแยกนางเลิ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมเปิดทางให้ผู้ถูกสกัดบริเวณแยกนางเลิ้งมาสมทบกับผู้ชุมนุมที่ถนนพิษณุโลกได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้แผนการบุกยึดพื้นที่หน้าทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรฯประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น พร้อมกันนี้กลุ่มผู้ชุมนุมยังร่วมกันเคลียร์พื้นที่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ด้วยการดันรถคุมขังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จอดกลางสะพานออกไปให้พ้นเส้นทาง เพื่อเคลียร์ทางรอให้รถกระจายเสียงหลัก ซึ่งยังคงปักหลักอยู่บริเวณแยกนางเลิ้ง เตรียมเคลื่อนที่เข้ามาภายในถนนพิษณุโลก อย่างไรก็ตาม ทันทีที่กลุ่มพันธมิตรฯสามารถรวมตัวกันได้สำเร็จ ประชาชนที่ยังกระจัดกระจายอยู่รอบนอกทุกจุด ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาภายในบริเวณดังกล่าว แล้วปักหลักลงนั่งบนพื้นถนนยาวเหยียดตั้งแต่แยกสวนมิสกวันไปจนถึงแยกนางเลิ้ง รวมทั้งกระจัดกระจายไปถึงหน้าบ้านพิษณุโลก
ใช้กฎหมู่ยึดถนนตั้งเวทีประกาศชัยชนะ
จากนั้นแกนนำได้นำรถกระจายเสียงมาจอดตั้งขวางบริเวณถนนพิษณุโลก พร้อมเปิดปราศรัยโจมตีรัฐบาล มีการโห่ไล่อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รวมไปถึงการประกาศชัยชนะของการชุมนุม ในครั้งนี้ พร้อมกับมีการประกาศกฎการชุมนุม เน้นย้ำห้ามผู้ชุมนุมดื่มสุรา ห้ามพกพาอาวุธ ห้ามใช้ความรุนแรง ห้ามไปจับต้องทำลายทรัพย์สินบริเวณรั้วทำเนียบฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากมีการเข้ายึดพื้นที่ของกลุ่มพันธมิตรฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มถอนกำลังกลับและถอยรถที่ใช้เป็นเครื่องกีดขวางทั้งหมดออกจากพื้นที่ เรียกเสียงปรบมือจากกลุ่มผู้ชุมนุม ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ผู้ชุมนุมบางรายได้ควักกล้องส่วนตัวบันทึกภาพเหตุการณ์เก็บไว้เป็นที่ระลึก นอกจากนี้ ยังเริ่มมีผู้สนับสนุนกลุ่มต่างๆเดินทางมาสมทบเป็นระยะ อาทิ กลุ่มพันธมิตรฯ จ.กำแพงเพชร ที่เดินทางมาพร้อมน้ำดื่ม นำมาสนับสนุน และระหว่างการเคลื่อนขบวน มีนางรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. และคณะ เดินทางมาร่วมชุมนุมอยู่ด้วย บริเวณแยกสวนมิสกวัน
ตชด.หญิงถูกม็อบดันล้มเหยียบแขนหัก
อย่างไรก็ตาม ในการเคลื่อนพลของพันธมิตรฯ ภายใต้การนำของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ จากลานพระบรมรูปทรงม้ามายังทำเนียบรัฐบาล โดยข้ามคลองเปรมประชากร ผ่านสำนักงาน ป.ป.ช. ไปยังทำเนียบฝั่งเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ในช่วงบ่าย ซึ่งมีกำลังตำรวจตระเวนชายแดนและหน่วยพลร่มหญิงมายืนตรึงเป็นแถว หน้ากระดาน พร้อมกับรถขังผู้ต้องหามาตั้งขวางไว้ที่หัวมุมถนนนครปฐมนั้น เมื่อผู้ชุมนุมประจันหน้ากับตำรวจ ได้พยายามดันแผงเหล็กที่ขวางไว้เพื่อฝ่าด่านเข้าไปยังหน้าทำเนียบ ระหว่างที่ยื้อยุดกันนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้พังรั้วเหล็กถาวร ที่ตั้งอยู่ริมถนนพิษณุโลก จนล้มลงมาทับตำรวจหลายนายที่ยืนเป็นแนวกำแพงขวางไว้ จากนั้นผู้ชุมนุมได้วิ่งกรูเข้าไปเหยียบซ้ำตำรวจที่ล้มลงกับพื้นถนน ทำให้ตำรวจพลร่มหญิงคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บแขนหัก ที่เหลือก็บาดเจ็บไปตามๆกัน ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 200 คน จะหักด่านตำรวจเข้าไปยึดเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ประชิดทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จเป็นจุดแรก พร้อมกับประกาศปักหลักรอกลุ่มพันธมิตรจากจุดอื่นๆ ที่จะฝ่าด่านเข้ามาสมทบอีก
โชคดีที่ตำรวจชายช่วยยกตัวออกมา
สำหรับตำรวจที่บาดเจ็บจากการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐมี 4 นาย ได้แก่ ส.ต.ต.หญิงพรพิรุณ โตรำจร บาดเจ็บแขนขวาหัก จ.ส.ต.หญิง พจนา แก้วเกษศรี ข้อศอกซ้ายแตก ทั้งคู่สังกัด บก. สอ. บช.ตชด. ค่ายนเรศวร และ จ.ส.ต.คมสัน ศรีคำ อายุ 40 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สน.บางนา จ.ส.ต. ศราวุธ เลิศพร อายุ 40 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สน.ลุมพินี บาดเจ็บที่นิ้วมือซ้าย ถูกส่งตัวเข้ารักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาลตำรวจ
ส.ต.ต.หญิงพรพิรุณเปิดเผยว่า ได้รับบาดเจ็บที่แขนขวา เนื่องจากล้มลงโดนแผงเหล็กและโล่ทับ ก่อนเกิดเหตุ ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นแนวสกัดกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณ ถนนนครปฐม โดยยืนอยู่ในแถวที่ 2 และถูกกลุ่มผู้ชุมนุมหลายสิบคน เฮโลบุกเข้ามาฝ่าแนวเหล็กเพื่อเข้าไปทำเนียบรัฐบาล ทำให้ตนเสียหลักล้มลงถูกแผงเหล็กและโล่ทับ ก่อนถูกกลุ่มผู้ชุมนุมเหยียบทับลงไปที่ตัวและแขนจนแขนหัก จากนั้นก็มีตำรวจชายที่อยู่แถวหลังได้เข้ากันไว้และยกตัวออกมา ซึ่งในเวลาต่อมา พล.ต.ท. นิพนธ์ ศิริวงษ์ ผบช.ตชด.พร้อมภริยา เดินทางไปเยี่ยมอาการบาดเจ็บของตำรวจหญิงทั้ง 2 นาย
ขรก.ลาหยุดงานเผ่นหนีชุมนุม
ทางด้านบรรยากาศภายในทำเนียบรัฐบาล ก่อนหน้าที่กลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนพลบุกมา ในเวลา 13.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าบรรยากาศเป็นไปด้วยความเงียบเหงา ข้าราชการมาทำงานกันบางตา มีข้าราชการขอลาหยุดงานเป็นจำนวนมาก บางส่วนก็เดินทางมาเซ็นชื่อเข้าทำงาน แล้วกลับบ้านทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งใกล้เที่ยงวัน แทบจะไม่มีข้าราชการเหลืออยู่ในทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานการณ์ความปลอดภัย จนพ่อค้าแม่ค้าในทำเนียบรัฐบาลต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่สามารถขายอะไรได้เลย ขณะที่ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และที่ทำการไปรษณีย์ ที่ตั้งอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล ขึ้นป้ายปิดทำการในเวลา 12.00 น. ส่วนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ก็ไม่มีใครเดินทางเข้ามาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลแม้แต่คนเดียว โดยมีภารกิจปฏิบัติงานอยู่ภายนอกทำเนียบรัฐบาล
ตรึงกำลังคุมเข้มคุ้มกันรอบทิศ
ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัย ภายในทำเนียบรัฐบาลก็เป็นไปอย่างเข้มงวด เปิดให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนเข้าออกได้เพียงประตู 5 ฝั่งตรงข้ามกระทรวงศึกษาฯเพียงประตูเดียว ขณะที่ประตูทางเข้าออกอื่นๆ ถูกปิด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนอารักขาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา มีการเตรียมกำลังตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล หน่วยคอมมานโด กองปราบปราม หน่วยสันติบาลประจำทำเนียบรัฐบาล และสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ จำนวน 4 กองร้อย พร้อมโล่และกระบองเตรียมรับมือกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงกลุ่มมือที่สามที่มีการข่าวว่าอาจเข้ามาก่อเหตุสร้างความวุ่นวาย นอกจากนี้ ได้เตรียมแผนสำรองว่าหากเหตุการณ์คับขัน มีการปะทะกันอย่างหนัก จะมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วอีก 2 กองร้อย เข้ามาเป็นกำลังเสริม ขณะเดียวกัน ยังเตรียมรถขังผู้ต้องหา รถดับเพลิงอีกหลายคัน เตรียมการไว้รับสถานการณ์ด้วย ทั้งนี้กองรักษาความปลอดภัยได้มีคำสั่งให้ตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ไปจนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย โดยจะมีการประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน
ปลัด สปน.อนุญาตให้ ขรก.กลับบ้าน
นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ข้าราชการในทำเนียบรัฐบาลมาทำงานเพียง 50% เท่านั้น และได้อนุญาตให้ข้าราชการ สำนัก-ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับบ้านกันหมดแล้ว เพื่อความปลอดภัยและสบายใจของข้าราชการ เป็นการ อนุโลมให้หยุดได้ โดยไม่ถือเป็นวันลา ส่วนตนยังคงจะนั่งทำงานอยู่ในทำเนียบฯไปจนกว่าสถานการณ์จะอยู่ในความสงบ หรือมั่นใจได้ จึงจะกลับบ้าน ไม่กลัวอะไร เพราะ อยู่ในสถานการณ์ความไม่สงบมาหลายยุคแล้ว เหตุการณ์ ช่วงกลางวันนั้นไม่มีความน่าเป็นห่วงมากนัก แต่ห่วงใน ช่วงค่ำมากกว่า ที่อาจจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเดินทางมาสมทบมากขึ้นจนอาจเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นได้
สั่งปิดประตูกันกลุ่มชุมนุมบุกเข้ามา
ภายหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมสามารถบุกเข้ามาประชิดรั้วทำเนียบฯได้สำเร็จ ในเวลาประมาณ 15.00 น. นั้น ได้มีการสั่งปิดประตูทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลทุกประตูทันที พร้อมกับสั่งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก กองบังคับการตำรวจภูธรภาค 2 เข้ามาสมทบอีก 200 ราย โดยได้กระจายกำลังรักษาความปลอดภัยทั่วทำเนียบฯ โดยเฉพาะบริเวณริมรั้วด้านถนนพิษณุโลก ที่มีการตั้งแถว ตรึงกำลังเป็นแนวยาวตลอดแนวรั้ว พร้อมกับโล่และกระบอง ยืนประจันหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่นอกรั้วทำเนียบ โดยมี พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 มาคอยบัญชาการอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล และกล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียง สั้นๆว่า หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯเคลื่อนกำลังมาประชิดรั้วทำเนียบแล้ว คงต้องตรึงกำลังรักษาสถานที่ราชการไว้ก่อน
“พุทธิพงษ์” จัดรถสุขา-แพทย์ให้พันธมิตรฯ
ในเวลา 16.00 น. ผู้ชุมนุมที่ยังอยู่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้รื้อเต็นท์และเวทีปราศรัยออก เพื่อเตรียมย้ายไปตั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ฝั่งสำนักงาน ก.พ. จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดของเขตป้อมปราบฯกว่า 10 คน เข้ามาระดมทำความสะอาดบริเวณสะพานมัฆวานฯ และในถนนราชดำเนิน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดการจราจร ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะที่ขบวนผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรฯเคลื่อนพลไปยังทำเนียบรัฐบาล มีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าฯ กทม. อยู่ในขบวนด้วย โดยคอยอำนวยความสะดวก โดยการส่งรถสุขาและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มาดูแลฝ่ายพันธมิตร
รัฐบาลยังชอบธรรมบริหารประเทศ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังที่กลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนกำลังมาประชิดรั้วทำเนียบรัฐบาลได้เป็นผลสำเร็จว่า รัฐบาลขอยืนยันว่าไม่มีนโยบายใช้กำลังความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม สาเหตุที่ผู้ชุมนุมฝ่าแนวป้องกันของตำรวจมาได้ เนื่องจากตำรวจปฏิบัติตามคำบัญชาของนายกฯ ด้วยการไม่ใช้อาวุธหรือกำลังโต้ตอบ ทำให้มีตำรวจบาดเจ็บ 2 นาย หนึ่งในนั้นเป็นตำรวจหญิงได้รับบาดเจ็บแขนหัก หากรัฐบาลสั่งการให้ใช้ความรุนแรง กลุ่มผู้ชุมนุมคงไม่ สามารถเคลื่อนตัวได้เร็วขนาดนี้ และคงไม่ใช่ตำรวจที่บาดเจ็บอยู่ฝ่ายเดียว แม้กลุ่มพันธมิตรฯจะมาประชิดรั้วทำเนียบฯ แต่นายกฯยืนยันจะปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน และพร้อมรับผิดชอบต่อประเทศ โดยได้ติดตามสถานการณ์อยู่เป็นระยะ ประชาชนอย่าวิตกในสถานการณ์ การชุมนุม เพราะขณะนี้รัฐบาลยังมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว มีความชอบธรรมที่จะปกป้องอธิปไตยของประชาชนไว้ ขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ ใช้ความนุ่มนวลในการปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เสมือนเป็นญาติพี่น้องตัวเอง อย่าใช้ความโกรธแค้น ชิงชัง นำพาให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ต่อบ้านเมือง
อ้างสงคราม 9 ทัพล้มรัฐบาล
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มาล้อมทำเนียบรัฐบาลว่า เชื่อว่าเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะนายกรัฐมนตรีกำชับไว้ตลอดเวลาว่าอย่าใช้กำลังความรุนแรง ส่วนการเจรจาและควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นผู้ดูแล ไม่ให้ดำเนินการที่ผิดกฎหมาย แต่ขณะนี้ต้องระวังเป็นพิเศษเรื่องมือที่สาม มือที่สี่ เข้ามาสร้างความวุ่นวาย เพื่อให้เป็นประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายตัวเอง อยากตั้งข้อสังเกตว่าการที่กลุ่มพันธมิตรฯ ใช้ยุทธวิธีเคลื่อนไหวว่าเป็นสงคราม 9 ทัพนั้น ขอให้ฉุกคิดว่าเป็นการต่อสู้กับศัตรู แต่วันนี้น่าใจหายที่คนไทยด้วยกันเองใช้คำนี้ ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมานานถึง 200 ปีเศษ เพียงเพราะต้องการขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
วอนยึดกระแสพระราชดำรัสในหลวง
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดเหตุปะทะ ระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มที่คัดค้าน นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ทราบว่าเจ้าหน้าที่พยายามเจรจากับกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรฯ และหากจะแสดงจุดยืนก็ได้ แต่อย่าเคลื่อนไหวให้มาใกล้กัน ในนามรัฐบาลอยากขอร้องประชาชนสองฝ่าย ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยว่า บ้านเมืองไม่สามารถรับความแตกแยกของคนในชาติได้อีกแล้ว เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาประเทศบอบช้ำมามากและไม่มีใครได้ประโยชน์จากเหตุความขัดแย้ง ดังนั้นขอให้ตระหนักในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานไว้ต่อคู่กรณี ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เทิดไว้เหนือเกล้าเตือนหัวใจตัวเองว่า วันนี้ไม่มีใครชนะ เพราะแค่ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ก็ถือว่าประเทศ ชาติพ่ายแพ้แล้ว ดังนั้นคนไทยต้องใช้สติให้มาก แม้จะเป็นวิจารณญาณของแต่ละคนที่จะแสดงออก แต่โดยหลักการต้องไม่ละเมิดกฎหมาย เพราะไม่อยากให้ประเทศถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
“เหลิม” ยํ้าเรื่องขนอาวุธเรื่องจริง
ช่วงเที่ยง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ให้ สัมภาษณ์ที่บ้านริมคลอง ถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า การเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุม หากไม่มีการก่อเหตุอื่น ไม่น่าจะมีปัญหาตามมา เมื่อถามว่า นปก.ออกมาเคลื่อนไหว เป็นม็อบชนม็อบ ร.ต.อ.เฉลิมตอบว่า ไม่มี ทางราชการคงไม่ปล่อยให้มีการปะทะกัน เพราะคนไทยด้วยกัน เห็นไม่เหมือนกันไม่เป็นไร แต่อย่าทำร้ายกัน ไม่ดี ไม่มีประโยชน์ พันธมิตรฯ ก็เลอะเทอะ เมื่อถามว่าประเมินว่าสถานการณ์จะรุนแรงหรือไม่ รมว.มหาดไทยตอบว่า ตนเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด มีทีมงานในพื้นที่ 150 คน รายงานอย่างละเอียด ทั้งนี้ มีรายงานว่ามีประชาชนมาจากภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคตะวันออก ร่วมชุมนุมประมาณ 2,500 คน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลประมาณ 10,000 คน รวมประมาณ 20,000 คน แต่ตนให้ 50,000 คน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย มีคนโทรศัพท์มาให้กำลังใจเยอะ ให้จัดการอย่างเด็ดขาด แต่ตนบอกว่าระบอบประชาธิปไตยทำอย่างนั้นไม่ได้ ส่วนเรื่องของอาวุธที่ขนมานั้น ไม่แน่ใจว่าจะมีการนำมาใช้ในวันเดียวกันนี้หรือไม่ แต่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง
เย้ยพันธมิตรฯ ไม่มีทางลง
รมว.มหาดไทยกล่าวว่า สถานการณ์ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ตำรวจมีความอดทนและเข้าใจ ผบช.น.ก็เก่ง ส่วน ผวจ.ก็ช่วยตลอด ตนย้ำว่าไม่ให้มีการสกัดกั้นคนเข้ามา แต่มีคนพยายามยั่วยุ ระบุว่าตำรวจสกัดคนไม่ให้เข้ากรุงเทพฯ ส่วนสถานการณ์จะยืดเยื้อหรือไม่ ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ในขณะนี้ แต่คิดว่าพันธมิตรฯ ไม่ยอมจบ ไม่มีทางลง แต่คงไม่ยืดเยื้อถึงการประชุม ครม. ส่วนที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี แนะให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลาออกนั้น ไม่ขอวิจารณ์ เพราะเคารพ พล.อ.ชวลิต แต่ขณะนี้ พล.อ.ชวลิตไม่ได้เป็น ส.ส. ด้วยเงื่อนไขคงไม่ใช่ และคงไม่ใช่ พล.อ.ชวลิตอยากมาเป็นนายกฯ
คตส.ยกเลิกประชุมกะทันหัน
ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เปิดเผยว่า วันเดียวกันนี้ได้ ยกเลิกการประชุม คตส.นัดพิเศษที่กำหนดประชุมเวลา 16.00 น. เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ไม่ปกติ อีกทั้งสำนักงาน สตง.ซึ่งเป็นที่ทำงานของ คตส. ก็เป็นพื้นที่เป้าหมายที่อาจจะมีคนมาก่อความไม่สงบ เช่น การนำระเบิดมาขว้าง เพราะมีเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนคดีอยู่จำนวนมาก ซึ่ง คตส.ได้ย้ายเอกสารสำคัญส่วนใหญ่ออกจาก สตง.ไปเก็บไว้ในสถานที่ปลอดภัยหมดแล้ว
“จารุวรรณ” แหยงกลัวไม่ปลอดภัย
แหล่งข่าวจาก คตส. เปิดเผยว่า สาเหตุที่ คตส.ต้องยกเลิกการประชุมนัดพิเศษ เนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กรรมการ คตส. และผู้ว่าการ สตง. ได้ให้เจ้าหน้าที่ สตง.ไปที่ห้องกรรมการ คตส.แต่ละคนเพื่อแจ้งว่า ให้ยกเลิกการประชุม คตส.ชุดใหญ่ และขอให้กรรมการ กลับบ้าน เพราะได้ข่าวในเชิงลึกว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัย พร้อมกับขอให้กรรมการ คตส.ทุกคน อย่านอนที่บ้านในคืนวันที่ 20 มิ.ย. นอกจากนี้ คุณหญิงจารุวรรณยังได้สั่งให้ข้าราชการ สตง.ทุกคนทยอยเดินทางกลับบ้านด้วย
พันธมิตร ตจว.ฉุนถูก ตร.ค้นรถ
ในส่วนความเคลื่อนไหวของประชาชนต่างจังหวัด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรจากจังหวัดกำแพงเพชร อ่างทอง ที่เดินทางมาสมทบกับกลุ่มพันธมิตรใน กทม. ด้วยรถบัส 4 คัน และรถตู้อีก 5 คัน หวิดเกิดปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ขณะที่กลุ่มพันธมิตรดังกล่าว เดินทางมาถึงหมวดการทางบางปะหัน อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ถูกเจ้าหน้าที่ ตำรวจที่ตั้งด่านอยู่ เข้าตรวจค้นตามหน้าที่ ทำให้เกิดความไม่พอใจและมีปากเสียงกันขึ้นพร้อมกับมีการชุมนุมปิดถนนไว้ ต่อมา พ.ต.อ.วุฒิพงศ์ เพ็ชรกำเนิด รอง ผบก.ภ. จ.พระนครศรีอยุธยา เข้าชี้แจงกับผู้ชุมนุมว่า การตั้งด่านของตำรวจเป็นการทำงานตามปกติ ไม่ใช่เป็นการสกัดจับแต่อย่างใด ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการร้องเรียน ว่า ผู้ที่ขับขี่ยวดยานบนถนนสายเอเชีย เขต อ.มหาราชเชื่อมกับ อ.บางปะหัน ถูกตะปูเรือใบที่มีผู้โรยไว้เป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ทิ่มเข้าที่ยางจนมีรถยางแบนกว่า30 คัน และต้องจอดรถเปลี่ยนยางริมถนนกันอย่างทุลักทุเล
ขึ้นเวทีขอกราบเท้าประชาชน
ในช่วงเย็นหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดเข้ามารวมตัวกันบริเวณถนนพิษณุโลก หน้าทำเนียบรัฐบาลเบ็ด เสร็จแล้ว เวลาประมาณ 17.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวแสดงความยินดีถึงชัยชนะในการนำประชาชนเดินทางมาปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาล ขอกราบเท้าประชาชนที่สามารถฝ่าด่านตำรวจเข้ามา จนสามารถยึดพื้นที่หน้าทำเนียบได้สำเร็จและขอคารวะจิตใจของทุกคน จากที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเดินทางมาปักหลักที่ทำเนียบ สุดท้ายก็ทำสำเร็จ ไม่มีครั้งไหนที่ประชาชนจะออกมาปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และราชบัลลังก์ มากขนาดนี้ ตนถูกฟ้องมาแล้วถึง 58 คดี เปรียบเหมือนนักรบที่ถูกศรยิงไป 58 แผล แต่ยังดึงออกมาแล้วขึ้นม้ามาต่อสู้ต่อไป ในฐานะลูกคนจีนคนหนึ่ง ขอคารวะน้ำใจประชาชนทุกคน จากนั้นบรรยากาศของการปราศรัยหน้าทำเนียบฯก็เริ่มดุเดือดขึ้น มีโฆษกจากสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีขึ้นเวทีกล่าวปลุกเร้าผู้ชุมนุม ให้ร่วมกันแสดงความยินดีกับความสำเร็จ โดยสลับกับการตะโกนขับไล่ “อดีตนายกฯทักษิณ” และ “นายกฯสมัคร” เป็นระยะๆ ขณะที่บรรดาแนวร่วมที่สนับสนุนพันธมิตรก็ทยอยมาปักหลักจองพื้นที่ฟังการปราศรัยในช่วงเย็น ในส่วนของเวทีพันธมิตรที่ตั้งหน้าสนามม้านางเลิ้ง ก็ยังเปิดปราศรัยต่อไป และมีการนำแผงเหล็กมากั้นรอบ เวที โดยมีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ขึ้นกล่าวโจมตีรัฐบาล
นปก.กลับฐานที่มั่น สนามหลวง
ด้านม็อบ นปก.นั้น เย็นวันเดียวกัน นพ.เหวงโตจิราการ อดีตกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการหรือ นปก.ที่นำผู้ชุมนุมเคลื่อนพลจากสนามหลวงมาปัก หลักที่สี่แยก จปร.บริเวณหน้ากระทรวงเกษตรฯ เมื่อคืนวันที่ 19 มิ.ย. ได้นำพลพรรคกลับไปยังสนามหลวงแล้ว โดย นพ.เหวงกล่าวว่า ภารกิจพวกเราไม่ได้ไปปราบม็อบพันธมิตร แต่ไปกดดันกลุ่มพันธมิตรที่ทำอะไรไม่ถูกต้อง ตั้งม็อบกลางถนนขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ เคารพระบอบประชาธิปไตย ใช้ข้ออ้างโกหกเพื่อขับไล่ เช่น เรื่องเขาพระวิหาร เรื่องรัฐตำรวจ การที่กลุ่มพันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาลได้ถือว่าตำรวจบกพร่อง ทำไมถึงปล่อยให้เข้าไปอย่างง่ายดาย มีตำรวจผู้ใหญ่บางคนส่งซิกหรือไม่ และการที่ นปก.ย้ายกลับมาที่เดิม เพราะไม่ต้องการให้ประชาชนที่ใช้ถนนเดือดร้อน นปก.ไม่ได้แพ้ แต่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว
“สมัคร” ชิ่งใช้บัวแก้วประชุมงาน
ทางด้านความเคลื่อนไหวของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นั้น เช้าวันเดียวกัน เวลา 09.30 น. นาย สมัครเดินทางไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้ง 14 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 14-18 ธ.ค. หลังการประชุมผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรบุกล้อมทำเนียบรัฐบาล นายสมัครตอบเพียงสั้นๆว่า ให้ไปถามผู้ที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะเดินเลี่ยงขึ้นรถออกจากกระทรวงการต่างประเทศ ไปรับประทานอาหารกลางวันเป็นการส่วนตัว โดยไม่ให้ผู้สื่อข่าวติดตาม
เรียก ผบ.ทบ.-ผบ.ตร.หารือด่วน
กระทั่งเวลา 13.00 น. นายสมัครเดินทางไปเยี่ยมชมความคืบหน้าการก่อสร้างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวา 2550 ถนนแจ้งวัฒนะ ทั้งนี้ ก่อนออกจากศูนย์ราชการนายสมัครได้ใช้ทีมรักษา รปภ.ถึง 3 ชุด และใช้รถตู้ที่ตนเองนั่งถึง 3 คัน หลอกล่อผู้สื่อข่าวไม่ให้ติดตาม จากนั้นนายสมัครเดินทางไปยังสโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต หารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นได้เดินทางไปยังกองบัญชาการกองทัพอากาศ เพื่อหารือถึงสถานการณ์ม็อบบุกล้อมทำเนียบรัฐบาล
“บิ๊กป๊อก” ออกอาการเครียด
ภายหลังการหารือ พล.อ.อนุพงษ์ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ โดยเฉพาะเรื่องการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดย พล.อ.อนุพงษ์ถึงกับหน้าถอดสีและออกอาการฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะแหวกวงล้อมผู้สื่อข่าวเดินขึ้นรถไปทันที ด้าน พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวสั้นๆว่า นายกฯได้เชิญมาช่วยประเมินสถานการณ์ จากการที่กลุ่มพันธมิตรฯบุกล้อมทำเนียบรัฐบาล ซึ่งยังไม่มีอะไร ขอให้สบายใจได้ เมื่อถามว่า สถานการณ์มีความตึงเครียดหรือไม่ พล.ท.ประยุทธ์ตอบว่า ไม่ได้ตึงเครียดอะไร พร้อมกับชี้ให้ดูใบหน้าก่อนพร้อมกล่าวว่า ยังยิ้มได้อยู่ จากนั้นได้โบกมือให้สื่อมวลชน ก่อนจะขึ้นรถออกไปสมทบกับ พล.อ.อนุพงษ์ที่บ้านพักรับรองภายในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ โดยไม่ให้ขบวนรถผู้สื่อข่าวติดตามไปด้วยแต่อย่างใด
สั่งทหารวางตัวเป็นกลาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่จะไปหารือกับนายสมัคร พล.อ.อนุพงษ์กับ พล.ท.ประยุทธ์ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันที่ห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่กองบัญชาการกองทัพบก โดย พล.อ.อนุพงษ์ได้มีคำสั่งกำชับให้หน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก ผ่านทางวิทยุสื่อสารของทหารด่วนจากผู้บังคับบัญชาว่า ขอให้ทหารวางตัวเป็นกลาง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และขอให้กำลังอยู่ในหน่วยที่ตั้งจนกว่าจะมีคำสั่งให้ทหารออกมาปฏิบัติภารกิจ แม้ว่าสถานการณ์ขณะนี้จะมีสิ่งรุมเร้ามากมาย แต่ยังเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ประเมินกลุ่มชุมนุมไม่กล้าบุกเข้าทำเนียบฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมร่วมกันระหว่างนายสมัคร พล.อ.อนุพงษ์ พล.ต.อ.พัชรวาท และพล.ท. ประยุทธ์นั้น ฝ่ายทหารและตำรวจได้ประเมินสถานการณ์การชุมนุมว่า ถึงจำนวนคนที่มาร่วมชุมนุมจะมีเป็นจำนวนมากในระยะแรกมีประมาณ 15,000 คน แต่จะยังไม่มีเหตุร้ายแรงหรือเหตุการณ์ปะทะรุนแรงเลือดตกยางออก ดังนั้นรัฐบาลต้องอดทน ปล่อยให้มีการชุมนุมกันไป และให้ตำรวจดูแลเฝ้าระวังไม่ให้มีเหตุแทรกซ้อนจากกลุ่มมือที่สาม ส่วนทหารยังไม่ต้องออกมาแสดงบทบาท เพราะหากรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็จะยิ่งเสียหายมาก เอาไว้ให้กลุ่มพันธมิตรฯทำอะไรรุนแรงแล้วค่อยมาพิจารณาใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขณะที่ ผบ.ตร.รายงานว่า เท่าที่ประเมินกลุ่มพันธมิตรฯไม่กล้าที่จะบุกเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาล เพราะจะเท่ากับเป็นฝ่ายกระทำผิดกฎหมาย จะเข้าเงื่อนไขเปิดทางให้ทางรัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
“สมัคร” ถามทหารจะปฏิวัติหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการพูดถึงประเด็นที่กลุ่มพันธมิตรฯเริ่มเคลื่อนขบวน และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถสกัดกั้นได้ จนทำให้ดูเหมือนตำรวจจงใจปล่อยให้ม็อบเคลื่อนย้ายมาปักหลักหน้าทำเนียบฯได้ง่ายๆนั้น ทำให้นายสมัครและคนใกล้ชิดไม่พอใจ มองว่าตำรวจทำงานไม่แข็งขันเท่าที่ควร ซึ่ง ผบ.ตร.พยายามชี้แจงว่าเนื่องจากม็อบมาร่วมชุมนุมกันหลายหมื่น แต่ตำรวจมีกำลังเจ้าหน้าที่เพียงแค่ 4,000 นาย ไม่พอที่จะดูแล เมื่อม็อบใช้วิธีกระจายกันเป็นจุดๆแล้ว ผู้บังคับบัญชาระดับสูงสั่งไม่ให้ใช้ความรุนแรงด้วย ตำรวจจึงไม่สามารถสกัดกั้นได้ คนรับคำสั่งระดับข้างล่างลงไปก็ไม่ได้ทำงานแข็งขันเท่าไหร่ ดังนั้นนายกฯได้ซักซ้อมให้ตำรวจไปบล็อกพื้นที่ปิดหัวท้ายให้แต่คนออกไม่ให้คนเข้า เพื่อจำกัดพื้นที่ของกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้กระจายเป็นวงกว้างเกินไป นอกจากนี้ในที่ประชุม นายกฯยังได้สอบถามทางทหารว่ามีการเคลื่อนไหวเรื่องการปฏิวัติหรือไม่ มีทหารชุดไหนบ้างที่จะทำปฏิวัติ ซึ่งทั้ง ผบ.ทบ.และแม่ทัพภาคที่ 1 ยืนยันว่าทหารจะไม่มีการออกมาทำปฏิวัติแน่
“พัลลภ” ให้ทำใจเสียเลือดเนื้อ
อีกด้าน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภาย ใน (กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่เกิดจากกรณีที่รัฐบาลลงนามร่วมกับกัมพูชา เพื่อให้ปราสาทเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ซึ่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า การดำเนินงานเกี่ยวกับอาณาเขตของประเทศไทยต้องผ่านรัฐสภา ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ผ่านรัฐสภา มางุบงิบทำแบบนี้ไม่ได้ รัฐบาลต้องออกไป อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะคนทั้งประเทศไม่มีใครยอม ขณะนี้สื่อทุกแขนงและอาจารย์วิชาการ ออกมาตีเพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เสียแผ่นดินคงยอมไม่ได้ ผิดกันทั้ง ครม.ติดคุกกันทั้งหมด ทำอย่างนี้เหมือนกับขายชาติ นายกฯและ ครม.ต้องลาออกอย่างเดียว ยุบสภาไม่ได้ เพราะสภาไม่ผิด ไม่ลาออกปะทะกันแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วงจะถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อ เพราะประชาธิปไตยไม่เคยมาจากการร้องขอ แต่มาจากการต่อสู้ทั้งนั้น
อัด “เฉลิม” เต้าข่าว จปร.7 ขนอาวุธ
พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ส่วนการที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ระบุว่า จปร.7 ขนอาวุธเพื่อ มาสนับสนุนกลุ่มพันธมิตร เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลนั้น เป็นการเต้าข่าว เขาเรียก ร.ต.อ.เฉลิมว่า “เหลิม ดาวเทียม” เป็นการพูดเพื่อดิสเครดิต พล.ต.จำลอง และอีกประการหนึ่งคือ ต้องการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ และตนกับ พล.ต.มนูญกฤตไม่เคยติดคุกกับ ร.ต.อ.เฉลิม คนที่มารวมกันอยู่ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นคนอยู่ๆจะขนอาวุธมาซ่อนไว้มันผิดกฎหมาย ถ้าตำรวจรู้และเข้ามาทำลายกลุ่มพันธมิตรฯก็ต้องไปกันหมด ใครจะโง่ขนาดนั้น ถ้าร.ต.อ.เฉลิมรู้จริงต้องเข้าไปดำเนินการแล้ว หากไม่ทำจะถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ความเห็นของ ผบ.ตร. และ ร.ต.อ.เฉลิมก็แย้งกันอยู่ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นห่วงสถานการณ์การชุมนุม เกรงว่าจะเกิดความรุนแรงตำรวจคงเอาไม่อยู่ เพราะขณะนี้สหภาพการประปาฯการไฟฟ้าฯการรถไฟฯเข้ามาชุมนุม อาจมีการตัดน้ำตัดไฟจนทำให้ วุ่นวายไปหมด
ส.ว.ถกสถานการณ์
นอกจากนี้ ในการประชุมวุฒิสภา วันเดียวกัน ที่มี น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานที่ประชุม นายวิเชียร คันฉ่อง ส.ว.ตรัง ได้อภิปรายแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร จากนั้น ในที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ ส.ว.แสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย โดยที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่า ส.ว. ควรจะแสดงออกเป็นหนึ่งเดียวและมอบหมายให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ออกแถลงการณ์ในนามวุฒิสภา โดยไม่ควรให้กลุ่ม ส.ว.ใดๆไปแถลงฝ่ายเดียว เพราะอาจกลายเป็นว่า ส.ว.เลือกฝ่าย และให้รองประธานวุฒิสภา รองประธานวุฒิสภา เป็นผู้แถลง เนื่องจากประธานวุฒิสภาอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ
พร้อมเป็นกาวใจให้ทุกฝ่าย
ภายหลังการประชุม ส.ว.ประมาณ 50 คน ได้แถลงข่าวที่ห้องแถลงข่าว อาคารรัฐสภา 1 โดย น.ส.ทัศนากล่าวว่า ส.ว.ทั้งหมดมีความห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงใดๆ รัฐบาลต้องไม่ใช้ความรุนแรงยุติปัญหา กลุ่มผู้ชุมนุมต้องลดความร้อนแรงของอารมณ์ลง ไม่ยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้า โดยเฉพาะทหารต้องไม่เข้ามาแทรกแซง ให้ใช้วิถีทางประชาธิปไตยและวิถีในระบอบรัฐสภา เราไม่เห็นด้วยต่อการปฏิวัติ รัฐประหาร ผู้นำกองทัพจะต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ประชาชนควรออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญ โดยขอให้ใช้ไปสักระยะหนึ่งก่อน และวุฒิสภาพร้อมที่จะเป็นคนกลางในการประสานให้ทุกฝ่ายหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกและนำไปสู่สันติภาพ เรายังยืนยันที่จะเชิญรัฐบาลมารับฟังความเห็น เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบ เพื่อการลดความรุนแรง และวุฒิสภาจะทำหนังสือเชิญนายสมัครมารับฟังการอภิปรายของวุฒิสภาในวันที่ 23 มิ.ย. อีกครั้ง ภายหลังแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายวิเชียรได้ชวน น.ส.ทัศนาและคณะ ส.ว.จำนวนหนึ่ง เดินทางไปดูสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรที่บริเวณแยกวัดเบญจมบพิตร
พปช.หวั่นชุมนุมจุดเชื้อปฏิวัติ
สำหรับบรรยากาศที่ทำการพรรคพลังประชาชน ส.ส.และคณะทำงานศูนย์ติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ การชุมนุมพันธมิตรฯ ของพรรคพลังประชาชน ทยอยเข้าไป หารือประเมินสถานการณ์ อาทิ นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย และประธานวิปรัฐบาล ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคและหัวหน้าคณะทำงานศูนย์ฯ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนายสุทินกล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์เรากังวลและเสียใจในระดับหนึ่ง ที่พันธมิตรฯเคลื่อนพลบุกทำเนียบรัฐบาล เจตนาต้องการให้เกิดความรุนแรง มุ่งให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อระบอบประชาธิปไตย อาจถึงขั้นยึดอำนาจล้มล้างระบบรัฐสภาไป อยากให้สังคมช่วยยับยั้ง เพราะคาดว่าจะทำให้เกิดการปะทะถึงขั้นเสียเลือดเนื้อเสียชีวิตเพราะคนกลุ่มนี้เคยพาคนไปตาย
วอน ปชป.เลิกคิดแบ่งฝ่าย
นายสุทินกล่าวว่า อีกสวนหนึ่งที่เสียใจคือมีรายงานว่า พรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนการเคลื่อนตัวประชาชนจากภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก จัดการมวลชนอย่างเป็นระบบเข้ามาสมทบการชุมนุมใน กทม. ถ้าเป็นความจริงขอเรียกร้องพรรคประชาธิปัตย์ เลิกล้มความคิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ขอให้มาร่วมปกป้องชีวิตทรัพย์สินของประชาชนและปกป้องระบอบประชาธิปไตยร่วมกัน เพราะวันนี้มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อยู่ในหลายกลไกที่ทำให้เกิดเหตุการณ์วันนี้ หากประชาธิปัตย์ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ประชาชนจะขอบคุณความดีที่ได้ทำ
บ่นอุบโดนฉกวิทยุสื่อสารตอนปะทะ
ขณะเดียวกันจากที่มีการปะทะกันเล็กน้อย ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มพันธมิตรฯของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ บริเวณวัดเบญจมบพิตร ถนนนครปฐม ใกล้ทำเนียบรัฐบาล ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล จาก บช.น. หลายนายถูกกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วน ฉวยโอกาสชุลมุนฉกวิทยุสื่อสารของทางราชการที่เหน็บไว้ข้างกายหลายตัว โดยไม่ทันได้สังเกตว่าหายไปตอนไหน แต่เชื่อว่าหายไป ตอนกันฝูงชนไม่ให้เคลื่อนที่ฝ่าด่านเข้ามายังถนนพิษณุโลก
ผบ.ตร.บอกเจรจาแกนนำไม่ลงตัว
ต่อมาช่วงเย็น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มาเป็นประธานประชุมสรุปสถานการณ์ชุมนุม ที่ บช.น. โดยมีการนำภาพเส้นทางโดยรอบทำเนียบฯ ที่มีการวางกำลังตำรวจและจุดที่ถูกกลุ่มชุมนุมเข้ามายึดพื้นที่ โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ได้กำชับให้ปรับแผนการรักษาพื้นที่จุดที่เหลือบริเวณรอบทำเนียบฯ และพยายามอย่าให้มีการสนับสนุนกำลังเพิ่มเข้ามามาก และกล่าวว่า หลังกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปบริเวณทำเนียบฯแล้ว ตำรวจต้องดูต่อไปว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะอยู่กันนานแค่ไหน จะทำหน้าที่ในส่วนการดูแลความปลอดภัย ของประชาชนให้ดีที่สุด หากเขาจะปักหลักชุมนุมต่อ ตำรวจต้องดูแลความสงบเรียบร้อยต่อไปเรื่อยๆ ขอยืนยันว่าตำรวจได้พยายามพูดคุยเจรจาให้มีการเปลี่ยนสถานที่ชุมนุม แต่แกนนำยังไม่ตกลง
ยืนยันนายกฯ ไม่บ่นปล่อยกลุ่มชุมนุมเข้าทำเนียบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรฯ เข้าใกล้ทำเนียบฯ นายกรัฐมนตรีว่าอย่างไรบ้าง พล.ต.อ. พัชรวาทกล่าวว่า นายกฯไม่ได้ว่าอะไรในเรื่องกลุ่มผู้ชุมนุม บอกว่าเป็นเรื่องของตำรวจ ให้ตำรวจดูแลความปลอดภัยของประชาชน สรุปว่าอย่าให้มีประชาชนบาดเจ็บก็แล้วกัน เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีหนักใจกับสถานการณ์ ในขณะนี้หรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าวว่า ท่านไม่ได้บ่นอะไร ผู้สื่อข่าวถามว่า ณ เวลานี้กำลังตำรวจยังรับมือไหวหรือไม่ ต้องมีการประสานกำลังจากกองทัพหรือไม่ พล.ต.อ. พัชรวาทกล่าวว่า ยังครับ ผู้สื่อข่าวถามว่า มีรายงานเรื่องการบุกเข้าไปในรั้วทำเนียบฯ พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าวว่า เป็นห่วงอย่างเดียวคือ การรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม กลัวว่าจะไม่เรียบร้อย แต่ส่วนผู้ชุมนุมจะมากน้อยอย่างไร จะพูดอย่างไรว่ากันไป ปัญหาคงไม่มีตรงนั้น แต่กลัวว่าจะมีอีกกลุ่มเข้ามาปะทะกัน ซึ่งได้ป้องกันอยู่ และได้กำชับตำรวจใช้ความอดทนต่อการยั่วยุ ซึ่งตนเองพอใจที่ประชาชนไม่ได้รับบาดเจ็บ
ผบช.น.ทำหน้าที่แยกห้ามชนกัน
ด้าน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. กล่าวว่า ขณะนี้พยายามกันกลุ่มต่อต้านและพันธมิตรฯ ไม่ให้เข้าใกล้กัน ต่างคนต่างอยู่ไป ในส่วนกลุ่มต่อต้านอยู่ที่แยก จปร. ส่วนกลุ่มพันธมิตรฯอยู่ที่ถนนพิษณุโลก ส่วนกลุ่มพันธมิตรฯจะชุมนุมอีกนานแค่ไหนก็แล้วแต่เขา เขาไม่ได้ บอกว่าจะชุมนุมอีกกี่วัน เขาบอกว่าจะคุยกับฝั่งรัฐบาลก็คงส่งคนมาคุย แต่ยืนยันมาตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม ว่าอย่างไรเสียไม่ให้ผ่านสะพานมัฆวานฯ และอยากให้เป็นสันติวิธีไม่อยากให้ใครเดือดร้อน การชุมนุมตรงไหนก็เสียหายทั้งนั้น ยกเว้นในสวนสาธารณะไม่เสียหาย ที่ราชดำเนิน ที่สะพานมัฆวานฯ เสียหายทั้งนั้น เพราะองค์การสหประชาชาติ หรือโรงเรียนต่างๆ อยู่ตรงนั้น แต่จะทำอย่างไรอย่าให้สังคมเดือดร้อน ทั้งที่สะพานมัฆวานฯ หรือข้างทำเนียบฯไม่ดีทั้งนั้น ทำเนียบฯเป็นสถานที่ราชการ ถ้าเข้าไปจะผิดกฎหมายแน่นอน บนถนนเป็นที่สาธารณะ ก็ไม่ค่อยจะถูกต้องอยู่แล้ว ก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ต้องดำเนินคดี ยืนยันว่าถ้าเข้าไปผู้เสียหาย คือรัฐบาลต้องเป็นผู้ร้องทุกข์ ตำรวจในฐานะพนักงานสอบสวน ก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย การปิดถนนทั้งถนนถามว่าเดือดร้อนไหม มันเดือดร้อนแน่นอน ฝากด้วยว่าอะไรที่มันจะทำให้สังคมดีขึ้นได้ ก็ช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองประเทศชาติให้มันอยู่ได้
ให้ถามฝ่ายสืบสวนสืบหา “ไอ้จ๊อก”
วันเดียวกัน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ “ไอ้จ๊อก” ที่มท.1 ระบุว่าเป็นผู้ขนอาวุธมาให้พันธมิตรฯ ว่าจะมีตัวตนจริงหรือไม่ ตนไม่เคยอยู่ฝ่ายสืบสวน ต้องถามฝ่ายสืบสวนและปฏิเสธข่าวระเบิด 30 ลูกว่าไม่มีข้อมูล มีแต่รายงานว่าเป็นอาวุธและเมื่อตรวจสอบบุคคลพบตามที่แจ้งมา แต่ยังตรวจไม่พบอาวุธ พบแต่หนังสติ๊ก ลูกแก้ว และวิทยุสื่อสาร กระแสข่าวตอนนี้เข้ามาหลายด้านทั้งเรื่องอาวุธ ซึ่ง ผบช.น.ใช้ชุดสืบสวนหลายพื้นที่มาช่วยกันทำงานให้ได้ข้อมูลชัดเจน
บอกปล่อยกลุ่มชุมนุมเพราะไม่ต้องการทำร้าย
พล.ต.ต.สุรพลยังกล่าวถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรฯ สามารถฝ่าแนวกั้นตำรวจเข้าไปยึดพื้นที่ชุมนุมรอบทำเนียบฯว่า แกนนำผู้ชุมนุมที่มี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา ใช้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินเท้าเข้ามาบริเวณโดยรอบทำเนียบฯ เพื่อไปรวมกันที่ถนนพิษณุโลกทั้งหมด มียอดผู้ชุมนุมประมาณ 25,000 คน สาเหตุที่ตำรวจต้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปโดยรอบทำเนียบฯ เพราะเกรงอารมณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมจะปะทุ หากปล่อยให้ถึงช่วงค่ำจะยุ่ง สถานการณ์อาจจะวุ่นวาย ซึ่งตำรวจไม่ได้ยอม แต่เรามีกติกาชัดเจนว่า ตำรวจจะไม่ทำร้ายประชาชน ซึ่งมีประชาชนจำนวนมาก การฝ่าด่านกั้นเข้ามาไม่ได้ใช้กำลัง หรืออุปกรณ์ที่ใช้เป็นอาวุธ ไม่ได้ใช้ลักษณะของความรุนแรงเกินกว่าเหตุ แต่ใช้กำลังคนในลักษณะดันเข้ามา ก็ดันสู้กัน เมื่อตำรวจดันสู้ไม่ไหว ซึ่งก่อนหน้านี้มีการตกลงกัน ผบ.ตร.ยืนยันว่าจะไม่ใช้กำลังในการสลายการชุมนุม ไม่ใช้กำลังปราบปราม การสกัดกั้นก็เป็นไปได้เท่าที่เห็น
ศาลปกครองไต่สวนคดีฟ้อง ผบ.ตร.
ในส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯฟ้อง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อศาลปกครองให้มีคำสั่งกำหนดมาตรการชั่วคราว กรณีที่ตำรวจเปิดเพลงเสียงดังผ่านเครื่องขยายเสียงบริเวณการชุมนุมของพันธมิตรฯ อันเป็นการรบกวนการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญและศาลปกครองได้เปิดการพิจารณาไต่สวนฉุกเฉินเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 มิ.ย. ซึ่งหลังจากศาลปกครองกลางองค์คณะที่ 9 ได้ประชุม พิจารณาสำนวนคดี ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นเวลากว่า 5 ชั่วโมง ได้เตรียมออกหมายเรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาให้ข้อมูลใหม่อีกครั้งในสัปดาห์หน้า เนื่องจากเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวน ยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอต่อการที่ศาลจะมีคำสั่งใดๆ ออกมา
ย้ายไปนั่งทำงานที่กลาโหม
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ต่อจากนี้ไปนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะย้ายไปนั่งทำงานที่กระทรวงกลาโหม เพราะรัฐบาลจะปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมต่อไปอย่างเสรี เพียงแต่จะไม่อำนวยความสะดวกในเรื่องรถสุขาให้ หากมีการปีนเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ตำรวจจะดำเนินการจับกุมเป็นรายบุคคล โดยไม่จำเป็นต้องประกาศ ใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนการประชุม ครม.นั้น จะใช้สถานที่ประชุมที่อื่นที่เหมาะ สม
พปช.ปลุกแนวร่วมต้านม็อบ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า จากการติดตามตลอดระยะเวลาที่พันธมิตรฯเคลื่อนกำลัง 9 จุด โดยวอร์รูมของพรรคพลัง ประชาชนได้ประเมินสถานการกับนายกรัฐมนตรีไว้ว่า กลุ่มพันธมิตรฯจะเคลื่อนไหวเพื่อบีบให้นายกฯลาออกสถานเดียว ถ้ากลุ่มพันธมิตรฯรุกล้ำบุกเข้าทำเนียบรัฐบาล จะดำเนินการจัดการอย่างเด็ดขาด และเป็นอำนาจของนายกฯ ที่จะประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้กำลังทหารเข้ามาจัดการผู้ชุมนุม และนายกฯคงจะออกทีวีพูลทันทีเพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบ เชื่อว่าถึงนายกฯลาออก ก็ไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ดังนั้น วันนี้ขอเรียกร้องให้ ประชาชนทั่วประเทศ 76 จังหวัด ลุกฮือเรียกร้องต่อต้านการชุมนุมของพันธมิตรฯโดยสันติ เพื่อให้ยุติการบุกยึด ทำเนียบรัฐบาล
“บิ๊กจิ๋ว” ต่อสายปัดแนะนายกฯไขก๊อก
เมื่อเวลา 18.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทย ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กล่าวว่า เมื่อเวลา 17.00 น. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มาหาตน และบอกว่าไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนใน ลักษณะที่บอกว่าให้นายกฯลาออก เพียงแต่บอกว่าการที่จะแก้ปัญหาได้มี 3 ทาง คือ ยุบสภา ลาออก หรือนำฝ่ายค้านมาเป็นรัฐบาล แต่ทั้ง 3 อย่างไม่สามารถทำได้ ซึ่ง พล.อ.ชวลิตไม่เข้าใจว่าทำไมข่าวถึงออกมาในลักษณะ นั้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ต้องไม่ให้มีการปะทะกัน ตำรวจ ต้องไม่ทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ถ้าพันธมิตรฯทำร้ายตำรวจ ก็ปล่อยให้ทำไป แต่ให้ถ่ายรูปเป็นหลักฐานดำเนินคดี ภายหลัง นอกจากนี้ นายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ทำหนังสือสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้อยู่ประจำที่ตั้งห้ามออกนอกสถานที่จนกว่าจะมีคำสั่งยกเลิก
สุริยะใสโวเป็นชัยชนะของพันธมิตร
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตร กล่าวภายหลังกลุ่มพันธมิตรฯ บุกล้อมทำเนียบฯสำเร็จว่า ถือเป็นชัยชนะของพันธมิตรและประชาชน จากการใช้ ยุทธการสงคราม 9 ทัพ เป็นสิ่งยืนยันว่าพันธมิตรไม่มีวาระซ่อนเร้นไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่มีเป้าหมายต้องการให้รัฐบาลลาออก เพราะล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องเขาพระวิหาร ที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนให้กับกัมพูชา ส่วนกรณีที่มีตำรวจบาดเจ็บ 4 นายหลังเกิดปะทะกัน หากพันธมิตรทำร้ายตำรวจจริงและมีหลักฐาน ก็พร้อมที่จะเตรียมทนายสู้คดีและคงไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก และเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นหากตำรวจยอมเปิดทางให้พันธมิตรตั้งแต่แรก
ย้ายมายึดนางเลิ้งเป็นที่ชุมนุม
ในส่วนบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ในช่วงค่ำ ยังมีประชาชนมาร่วมชุมนุมอย่างต่อเนื่องตลอดถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกยมราชจนถึงแยกมิสกวัน โดยเฉพาะบริเวณแยกนางเลิ้งมีประชาชนจับจองพื้นที่ชุมนุมกันหนาแน่นเป็นพิเศษ ตั้งแต่แยกนางเลิ้งยาวเหยียดไปตามถนนนครสวรรค์ถึงแยกเทวกรรม เนื่องจากบริเวณแยกนางเลิ้งเป็นจุดตั้งเวทีหลักของกลุ่มพันธมิตรฯ จนกระทั่งเวลา 19.30 น. 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้สลับขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีรัฐบาลอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน
ย้ำจุดยืน “สมัคร” ต้องลาออก
นายพิภพ ธงไชย หนึ่งในแกนนำพันธมิตร กล่าวว่า เหตุผลที่กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องย้ายเวทีหลักจากบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลมาตั้งที่บริเวณแยกนางเลิ้ง เนื่องจากมีประชาชนมาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามรูปแบบการจัดเวทีปราศรัยและพื้นที่การชุมนุมนั้น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามจำนวนผู้มาชุมนุม กลุ่มพันธมิตรฯได้มอบหมายให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจ ขอยืนยันว่า พันธมิตรฯยังคงจะปักหลักชุมนุมกันต่อไป โดยมีจุดยืนคือ นายสมัคร สุนทรเวช ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพรรคพลังประชาชนจะต้องไม่เป็นรัฐบาล เนื่องจากหมดความชอบธรรม และล้มเหลวในการบริหารประเทศ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อประสานงานจากรัฐบาลให้ยุติการชุมนุม
ให้ทนายฟ้อง “นพดล” ต่อศาลปกครอง
เวลา 20.30 น. 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้มีมติร่วมกันมอบหมายให้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของกลุ่มพันธมิตรฯ เดินทางไปยื่นฟ้องนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ต่อศาลปกครองกลาง ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการเดินทางไปลงนามทำข้อตกลงเรื่องเขาพระวิหารกับกัมพูชา และขอให้ศาลพิจารณาออกคำสั่งคุ้มครองเพื่อระงับการลงนามดังกล่าวไว้ชั่วคราวจนกว่าการพิจารณาคดีจะเสร็จสิ้น
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์