“สงค์” เฉ่งโครงการรถไฟฟ้าผลาญงบ
วันที่ 20 ก.พ. เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องด่วนคำแถลงนโยบายของครม.เป็นวันที่สาม มีนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธาน สมาชิกในที่ประชุมทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และสนช.ได้ผลัดเปลี่ยนกันอภิปรายฝ่ายละ 1 คน โดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สนช. อภิปรายว่าได้อ่านนโยบายของรัฐบาลแล้วต้องขอขอบคุณรัฐบาลสมัครที่ระบุว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดี จึงได้ตระหนักและจะปฏิบัติแนวนโยบายของรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แนวนโยบายพื้นฐานด้านเศรษฐกิจนั้นรัฐบาลต้องตระหนักถึงรัฐธรรมนูญ มาตรา 83-84 ที่ต้องการให้รัฐดำเนินนโยบายแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ส่วนนโยบายโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเร่งด่วนนั้น จะเอางบประมาณมาจากไหนขอให้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายด้วย อีกทั้งยังจะเปลี่ยน แปลงเส้นทางการก่อสร้างอีกจากเดิมได้เสียเงินศึกษาเส้นทางเสร็จแล้ว แต่ต้องมาศึกษาเส้นทางกันใหม่ ใช้เวลา 2-3 ปีต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาทสิ่งนี้ไม่ใช่ เศรษฐกิจพอเพียง
เหน็บอย่าสมานฉันท์แค่คำพูด
น.ต.ประสงค์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ปัญหาหนี้นอกระบบที่ระบาดหนักมากรัฐบาลก็ไม่เอาใจใส่ที่จะเร่งแก้ไข ส่วนนโยบายด้านสิทธิเสรีภาพของสื่อไม่มี ไม่ทราบว่าหลงลืมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลบริหารประเทศพบว่าประชาชนต้องการให้วิกฤติประเทศคลี่คลาย โดยเฉพาะวิกฤติด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลต้องซื่อสัตย์ สุจริตมีคุณธรรมบริหารประเทศ นำประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย อีกทั้งต้องการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้และประชาชนต้องการให้เกิดความสามัคคีในประเทศ รัฐบาลบอกใช้ ความสมานฉันท์อยากให้มีการปฏิบัติ ไม่ใช่สมานฉันท์ แค่คำพูด
ปชป.ดาหน้าถล่มไอเดีย มท.1
ขณะที่นายพีรยศ ราฮิมมูลา ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบายแก้ไขปัญหา 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ว่า การแก้ปัญหาต้องดูมิติประวัติศาสตร์ ถ้าไม่เข้าใจความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น และถ้ามีนโยบายการแก้ปัญหาที่ผิดพลาดอีก ด้ามขวานทองที่หลุดหายไปโอกาสที่เชื่อมต่อได้คงจะยาก
นายอันวา สาและ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุการณ์กรือเซะ-ตากใบได้บานปลายและรุนแรงอย่างยิ่ง รัฐบาลนี้ต้องคิดว่าจะเอาอย่างไร เพราะลอกนโยบายมาจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ แม้แต่ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ยังเกิดแนวคิดให้พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตปกครองพิเศษ แสดงว่ารัฐบาลไม่มีความรู้ อยากเตือนรัฐบาลและ รมว.มหาดไทย ว่าปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องศาสนาดังนั้น การประกาศให้เป็นเมืองศาสนา คนทั่วไปอาจคิดว่าทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นจังหวัดมุสลิม แล้วชาวพุทธที่อยู่ในพื้นที่จำนวนมากจะอยู่ได้อย่างไร จะยิ่ง เกิดความแตกแยกและแตกต่าง ที่สำคัญศาสนาพุทธและอิสลามไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาชายแดนภาคใต้
“เฉลิม” แจงประเด็นร้อนเมืองศาสนา
ทางด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทยได้ใช้สิทธิพาดถึงลุกขึ้นชี้แจงทันที ทั้งที่ตามกำหนดการเดิมจะให้รัฐมนตรีได้ชี้แจงหลังสมาชิกอภิปรายกันเสร็จแล้วเรียบร้อยแล้ว โดย ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เหมือนท่านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรารักบ้านเมืองไม่แตกต่างกันในส่วนนโยบายแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ไปศึกษาสอบถามจากหลายคน ไม่มีใครคิดเห็นเหมือนกันเลย ส่วนเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น ในฐานะเป็นอดีตตำรวจเก่ามีอำนาจสืบสวนทั่วราชอาณาจักร ก็พอรู้เรื่องการข่าวอยู่บ้างแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทั้งนี้ ขอยืนยันมีแนวทางแก้ปัญหาให้สถานการณ์ดีขึ้น ความคิดคับแค้นใจของประชาชนในพื้นที่ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายของรัฐบาลนี้ แต่จะไม่พูดเหมือนรัฐมนตรีในอดีต แต่จะแก้ไข ส่วนเขตปกครองพิเศษนั้นต้องการให้เป็นเมืองเศรษฐกิจ ส่วนเมืองศาสนานั้น มีคนจาก จ.ปัตตานีหลายคนมาหา ก็ประชุมนอกรอบว่าอยากให้เป็น 3 จังหวัดเป็นเมืองเคร่งศาสนา อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22 ก.พ.นี้ จะมีการประชุมผวจ.ทั่วประเทศ และในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้จะมีการทำ ประชาพิจารณ์ในเรื่องนี้ดู เพราะจะทำอะไรต้องให้ประชาชน มีส่วนร่วม และพรรคประชาธิปัตย์ต้องช่วยกัน จะเรียก ตนไปหารือหรือไปพบที่กระทรวงมหาดไทยก็ได้
ปชป.แฉกลางสภา “สมัคร” พูดเท็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างจืดชืดจนกระทั่งเมื่อเวลา 17.15 น. นายเทพไท เสน พงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายแนวนโยบายการสร้างความสมานฉันท์โดยได้ชูหนังสือชื่อโหงว นั้ง ปัง เกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ว่า หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ มีเนื้อหาที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไปพูดที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสว่ามีผู้เสียชีวิต 48 คน ไม่ใช่ 1 คนตามที่นายสมัครให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศ แม้มีการสาบานขอให้มีอันเป็นไปก็ไม่สามารถลบล้างข้อเท็จจริงได้ นอกจากนี้ ในหนังสือนิตยสารตุลารำลึกของมูลนิธิร่วมกตัญญู บอกว่ามีคนตายมากกว่า 580 คน เมื่ออภิปรายถึงตรงนี้ได้มี ส.ส.พรรคพลังประชาชนประท้วง ว่าอภิปรายไม่อยู่ในประเด็น แต่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วงบ้าง ทั้งสองฝ่ายสลับกันประท้วงกินเวลาประมาณ 10 นาทีและได้มี ส.ส.พรรคพลังประชาชน กล่าวพาดถึงนายชวน หลีกภัย ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายชวนเคยพูดว่าสาเหตุที่ไม่เข้าป่าในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลา เพราะไม่ต้องการเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ต้องการล้มสถาบัน ในที่สุดนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน สนช. ทำหน้าที่ ประธานได้สรุปถามนายเทพไทว่า จะยกยอดไปอภิปรายในช่วงที่นายสมัครอยู่ในห้องประชุมตามที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนเสนอหรือไม่ นายเทพไทก็ตอบตกลง
“ชวน” แจงเหตุการณ์ 6 ตุลา 19
ขณะที่นายชวน หลีกภัย ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นใช้สิทธิพาดพิงชี้แจงว่า สาเหตุที่ต้องลุกขึ้นพูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา ในที่ประชุมรัฐสภาวันแรก เพราะนายสมัครได้ย้ำและพาดพิงถึง 3-4 ครั้ง ที่พูดไปก็ไม่ได้พาดพิงถึงใคร เพราะเหตุการณ์ขณะนั้นมีคนหนุ่มสาวหลายคนที่ถูกกดดันบีบคั้น ส่วนตนบ้านก็ถูกค้น ตอนแรกคิดจะหนี แต่ก็ไม่ได้หนี ไม่ไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ เพราะไม่มีความคิดที่ต้องการล้มล้างสถาบัน ต่อมาในปี 2522 ได้สอบถามรอง ผบ.ทบ.ในขณะนั้นในที่ประชุมคณะกรรมาธิการปกครอง ว่ามีคนเข้าป่าเป็นจำนวนเท่าใด ได้รับคำตอบว่ามีไม่น้อยกว่า 2,000 คน หนุ่มสาวบางส่วนก็ไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ บางส่วนก็มีความบริสุทธิ์ใจจริง
“อภิสิทธิ์” ชี้ชำระประวัติศาสตร์ไม่ง่าย
ทางด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า การชำระประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะมีมุมมองทางประวัติศาสตร์ที่ขัดกันอยู่เสมอ แต่ข้อเท็จจริงบางอย่างก็มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ซึ่งตนเห็นว่าควรมีการชำระประวัติศาสตร์มารวบรวมให้สามารถอ้างอิงได้ ส่วนการหาคนกลางมาชำระประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย หากรัฐบาลทำเองจะเป็นปัญหาที่คนไม่ยอมรับ เมื่อถามว่า ดูเหมือนท่าทีของนายสมัครยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ แล้วจะสามารถชำระประวัติศาสตร์ได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า นายสมัครก็เป็นอย่างนี้มาตลอด พยายามยืนอยู่ในจุดของตัวเอง แต่บางอย่างข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง ความจริงก็ไม่น่าพูดประเด็นนี้ขึ้นมา ถ้ายอมรับความผิดพลาดเรื่องก็จบ
“สุเทพ” เตือนอย่าบิดเบือนข้อมูล
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว. มหาดไทย ระบุว่าเหตุการณ์ 6 ต.ค. เกิดจากตำรวจเพียงคนเดียวว่า ไม่เข้าใจว่านายกฯและ รมต.มหาดไทยพยายามจะทำอะไร เพราะเรื่องเหตุการณ์ 6 ต.ค.นั้น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น มีคนรู้เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก ทุกคนเข้าใจกันหมด และเขาก็พยายามที่จะดูแลเยียวยากันมาได้ระดับหนึ่งแล้ว เหตุการณ์ก็ค่อยๆดีขึ้นแล้ว แต่ทั้งสองท่านยังจะรื้อฟื้นขึ้นมาอีก พยายามที่จะเขียนประวัติศาสตร์ด้วยตัวเอง คิดว่ามีแต่ขาดทุน อยากเตือนสติให้ทั้งสองท่าน ได้หยุดและเลิกพูดถึงเรื่องนี้ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยกับการชำระประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นต่อไปรู้ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าพอใครขึ้นมามีอำนาจแล้วก็มาบิดเบือน ตนถือว่าเป็นเรื่องน่าละอายที่สุด ส่วนคนที่จะเป็นเจ้าภาพนั้นตนเห็นว่าคงจะฝากรัฐบาลไม่ได้ พวกเราคงต้องช่วยกันคิดเอง
ปชป.รวมคำอภิปรายจัดส่งรัฐบาล
นายสุเทพกล่าวถึงภาพรวมของการประชุมอภิปรายแถลงนโยบายของรัฐบาลว่า เป็นการอภิปรายที่สมเหตุ สมผล อยู่ในกฎกติกามารยาททั้งสองฝ่าย ต่างคนต่างก็เปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายพูดจาเต็มที่ แต่ก็มีอุบัติเหตุบ้างเล็กน้อยอย่างเช่นเมื่อวานที่มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บางท่านแสดงความคิดเห็นส่วนตัวออกมา ซึ่งท่านเป็นคนอย่างนั้น ทุกคนก็พอจะเข้าใจ และหวังว่าการอภิปรายในวันสุดท้ายนี้จะเป็นไปด้วยดี ไม่มีการลุกขึ้นประท้วงกันวุ่นวายจนเสียเวลาและอารมณ์คนฟัง ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภายหลังจากการแถลงนโยบายรัฐบาลเสร็จสิ้นแล้ว ทางพรรคจะรวบรวมประเด็นที่ได้เสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรทุกประเด็น เพื่อจะเสนอต่อรัฐบาลเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง เพราะเกรงว่าข้อเสนอต่างๆที่ได้อภิปรายไป รัฐมนตรีจะไม่นำไปปรับปรุง
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์