<dd>?แซมบ้า? บราซิล สอนเชิง พร้อมถีบ ?ซามูไร? ญี่ปุ่น ตกรอบสนิท หลังยิงยับ4-1 โดยญี่ปุ่นออกนำก่อนจาก เคจิ ทามาดะ น.34 ก่อนแชมป์เก่าซัดรวดจาก โรนัลโด้ (บราซิล) น.45 และ 81,จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่ น.53 และ 1-3 จิลแบร์โต้ ดา ซิลวา อัดน.60 โดย โรนัลโด้ ทำสถิติสูงสุดในการทำประตูเทียบเท่า เกิร์ต มุลเลอร์ ที่ยิงไป14ประตูแล้ว ขณะที่ ?จิงโจ้? ออสเตรเลีย ซัดเจ๊า โครเอเชีย 2-2 ลิ่วเข้ารอบเช่นกัน ในศึกฟุตบอลโลก2006 เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
<dd><b>การแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 รอบแรก</b>
<dd><b>วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2549 </b>
<dd><b>กลุ่ม เอฟ (รอบแรก นัดสุดท้าย) </b>
<dd><b>ญี่ปุ่น 1 - บราซิล 4 </b>
<dd><b>สนาม</b> : เวสต์ฟาเล่น สเตเดี้ยม
<dd><b>เมือง </b>: ดอร์ทมุนด์ ประเทศ: เยอรมัน
<dd><b>ผู้ทำประตู</b>: 1-0 เคจิ ทามาดะ (ญี่ปุ่น) น.34, 1-1 โรนัลโด้ (บราซิล) น.45, 1-2 จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่ (บราซิล) น.53, 1-3 จิลแบร์โต้ ดา ซิลวา (บราซิล) น.60, 1-4 โรนัลโด้ (บราซิล) น.81
<dd><b>ใบเหลือง</b> : อากิระ คาจิ (ญี่ปุ่น) น.40,จิลแบร์โต้ ดา ซิลวา (บราซิล) น.44
<dd><b>ใบแดง</b> : -
<dd><b>แมน ออฟ เดอะ แมตช์ </b>: โรนัลโด้ (บราซิล)
<dd>เกมที่สนาม เวสต์ฟาเล่น สเตเดี้ยม ในเมือง ดอร์ทมุนด์ เป็นการพบกันระหว่าง ญี่ปุ่น กับ บราซิล โดยทีม ?ซามูไร? จะต้องเก็บชัยชนะสถานเดียวเท่านั้น และลุ้นให้ ออสเตรเลีย ไม่ชนะ โครเอเชีย ถึงจะมีหวังในการผ่านเข้ารอบสอง ขณะที่ ?แซมบ้า? ลอยลำเข้ารอบตั้งแต่นัดที่แล้ว
<dd>สภาพทีมของทั้งคู่ ญี่ปุ่น ไม่มี นาโอฮิโระ ทาคาฮาระ กับ อัทซึชิ ยานางิซาวะ สองกองหน้าตัวเก่งในรายชื่อผู้เล่นตัวจริง โดยให้ เซอิจิโระ มากิ กับ เคอิจิ ทามาดะ ลงทำหน้าที่แทน ส่วนบราซิล พักผู้เล่นคนสำคัญบางรายอย่าง มาร์กอส คาฟู, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, เอเมอร์สัน, เซ โรแบร์โต้ และ อาเดรียโน่ เพื่อเก็บไว้เล่นในรอบสอง ขณะที่กองหน้าตัวจริงอย่าง โรนัลโด้ ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากได้รับใบเหลืองเพิ่มอีกใบ เขาจะต้องติดโทษแบนในเกมรอบสองทันที
<dd>เริ่มต้นเกม บราซิล ยังไม่ผลีผลามบุกเข้าใส่ แต่ก็ยังได้โอกาสยิงก่อนในนาทีที่ 7 เมื่อ โรนัลโด้ โชว์ลีลาลากบอลเข้ามาซัด แต่ โยชิคัทซึ คาวางูชิ เซฟออกหลังไปได้
<dd>ถัดมาอีก 4 นาที ยังเป็นจังหวะเข้าทำของทีมแซมบ้า โดย โรบินโญ่ รับบอลจาก ซิซินโญ่ ทางฝั่งขวา ก่อนลากบอลตัดเข้าเท้าซ้ายแล้วสับไกทันที แต่คาวางูชิ ยังพุ่งปัดออกไปได้อีก ญี่ปุ่น ได้โอกาสแรกในนาทีที่ 15 จากการต่อบอลกันหลายทอด แล้วจบที่ จุนอิจิ อินาโมโตะ ซัดไกลด้วยเท้าซ้ายระยะ 30 หลา โด่งข้ามคานออกไปไกล
<dd>โอกาสที่ดีของบราซิลมาถึงอีกครั้งในนาทีต่อมา เมื่อ โรบินโญ่ ได้กดด้วยซ้ายจากหน้าเขตโทษ คาวางูชิ ต้องเหินสุดเหยียดปัดบอลข้ามคานออกไปได้ เกมรับของญี่ปุ่นเริ่มรวนมากขึ้น โดยนาทีที่ 20 โรนัลดินโญ่ ลากบอลจี้เข้ามาถึงหน้าเขตโทษ ก่อนจ่ายให้ โรนัลโด้ แต่งเข้าขวาแล้วปั่นเล่นทางไปเสาสอง แต่คาวางูชิ ยังโชว์ฟอร์มสุดยอด พุ่งปัดมือเดียวออกไปอย่างยอดเยี่ยม ถัดมาอึดใจเดียว โรนัลโด้ ไหลบอลให้ กาก้า วิ่งเข้าซัดเต็มข้อ คาวางูชิ ยังพุ่งปัดข้ามคานออกไปได้อีกครั้ง
<dd>แต่ญี่ปุ่นเริ่มโต้กลับได้ดี และเกือบพลิกขึ้นนำด้วยซ้ำในนาทีที่ 24 เมื่อ อากิระ คาจิ เติมเกมขึ้นมาทางกราบขวา แล้วผ่านเรียดไปหน้าประตู จิลแบร์โต้ ซิลวา ลงมาช่วยเกมรับ แต่เกือบสกัดบอลผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเอง
<dd>สถานการณ์มาพลิกผันจนได้ในนาทีที่ 34 เมื่อ ญี่ปุ่น ได้ประตูขึ้นนำอย่างสุดสวย จากจังหวะลุยขึ้นมาของ อเล็กซ์ แล้วแทงเข้าช่องให้ เคอิจิ ทามาดะ หลุดเข้าไปซัดด้วยเท้าซ้ายแสกหน้า ดีด้า เข้าไปอย่างสวยงาม ให้ญี่ปุ่น ขึ้นนำ 1-0
<dd>ช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งแรกเพียงนาทีเดียว บราซิล ก็มาตีเสมอเป็น 1-1 จนได้ เมื่อ โรนัลดินโญ่ ตักบอลไปให้ ซิซินโญ่ เติมขึ้นมาโหม่งชงให้ โรนัลโด้ โขกจ่อๆ เข้าไปไม่เหลือ หมดครึ่งแรก ญี่ปุ่น เสมอ บราซิล 1-1
<dd>ครึ่งหลัง บราซิล ลุยหนัก และเพียงแค่ 30 วินาที กาก้า ก็ได้ซัดจากหน้าเขตโทษ แต่ไปติดบล็อก อเล็กซ์ ออกหลังไปหวุดหวิด
<dd>ทีมแซมบ้าน่าจะได้ประตูขึ้นนำอย่างที่สุดในนาทีที่ 51 เมื่อ โรนัลโด้ เล่นชิ่งกับ โรนัลดินโญ่ ก่อนได้ตั้งยิงเหน่งๆ บนเส้นเขตโทษพอดี แต่กลับแปหลุดเสาสองออกไปไม่น่าเชื่อ
<dd>อย่างไรก็ดี บราซิล ก็มาขึ้นนำ 2-1 จนได้ในนาทีที่ 53 จากการตั้งป้อมซัดระยะ 25 หลา ของ จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่ มิดฟิลด์ของสโมสรโอลิมปิก ลียง
<dd>ขุนพลเซเลเซามาได้ประตูหนีห่างเป็น 3-1 ในอีก 6 นาทีต่อมา เมื่อ จิลแบร์โต้ ดา ซิลวา แบ็กซ้าย หลุดเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนตะบันเรียดเสียบเสาสองเข้าไปอย่างสวยงาม
<dd>จากนั้น บราซิล บุกถล่มเข้าใส่เป็นระลอก โดย โรบินโญ่ กับ กาก้า ได้โอกาสยิงไกลคนละครั้ง แต่ คาวางูชิ ก็เซฟได้ทั้งสองครั้ง
<dd>ช่วงเวลาที่เหลือ บราซิล ครองบอลเอาไว้ได้ตลอด ขณะที่ญี่ปุ่นแทบไม่มีจังหวะขึ้นมาสร้างความหวาดเสียวได้เลย และแล้วในนาทีที่81 บราซิล ก็ได้ประตูตอกฝาโลง ญี่ปุ่น ได้เสำเร็จ จากการปั่นอย่างสุดสวย ของโรนัลโด้ ทำให้เจ้าโล้นทำสถิติยิงประตูในบอลโลก เทียบเท่า เกิร์ต มุลเลอร์ ของเยอรมัน ที่ทำไว้14 ประตูเรียบร้อย
<dd>จบเกม ญี่ปุ่น แพ้ บราซิล ไป 1-4 ส่งผลให้ญี่ปุ่นเป็นอีกทีมจากเอเชียต่อจากอิหร่านที่ตกรอบแรก ขณะที่บราซิลเข้ารอบด้วยการเป็นที่ 1 ของกลุ่ม เอฟ พร้อมทั้งทำสถิติชนะติดกันในบอลโลกมา10นัดรวด โดยจะเข้าไปพบกับ กานา ทีม 2 ของกลุ่ม อี ในรอบสอง
<dd></b>รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม</b>
<dd><b>ญี่ปุ่น</b> : โยชิคัทสึ คาวางูจิ, อากิระ คาจิ, ยูจิ นากาซาวะ, เคซุเกะ ซึโบอิ, อเลสซานโดร ซานโตส, จุนอิจิ อินาโมโตะ, ฮิเดโตชิ นากาตะ, มิตซึโอะ โอกาซาวาระ, ชุนซุเกะ นากามูระ, เซอิชิโระ มากิ, เคจิ ทามาดะ
<dd><b>สำรอง</b> :โยอิจิ โดอิ, เซโกะ นาราซากิ, ยาซูฮิโตะ เอ็นโดะ, ทาคาชิ ฟูคูนิชิ, ยูอิจิ โคมาโนะ, เทรูยูกิ โมนิวะ, โคจิ นากาตะ, ชินจิ โอโนะ, มาซาชิ โอกุโระ, อัทซึชิ ยานางิซาวะ, นาโอฮิโระ ทาคาฮาระ
<dd><b>บราซิล</b> : เนลสัน ดีด้า, ซิซินโญ่, ลูซิโอ, ฮวน, จิลแบร์โต้ ดา ซิลวา, จิลแบร์โต้ ซิลวา, จูนินโญ่ แปร์นัมบูกาโน่, ริคาร์โด้ กาก้า, โรนัลดินโญ่, โรบินโญ่, โรนัลโด้
<dd><b>สำรอง</b> : ฮชลิโอ เซซ่าร์, โรเกริโอ เชนี่, มาร์กอส คาฟู, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, คริส, ลุยเซา, เอเมอร์สัน, คาร์ลอส มิเนโร่, ริคาร์ดินโญ่, เซ โรแบร์โต้, อาเดรียโน่, เฟร็ด
<dd><b>ผู้ตัดสิน </b>: เอริค ปูล่าต์ (ฝรั่งเศส)
โครเอเชีย 2 - ออสเตรเลีย 2
<dd><b>สนาม</b> : ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ สเตเดี้ยม (ก็อตลีบ- เดมเลอร์ สเตเดี้ยม )
<dd><b>เมือง</b> : สตุ๊ตการ์ท ประเทศ: เยอรมัน
<dd><b>ผู้ทำประตู</b>: 1-0 ดาริโย เซอร์น่า (โครเอเชีย) น.3,1-1 เคร็ก มัวร์ (ออสเตรเลีย) น.39, 2-1 นิโก โควัช (โครเอเชีย) น.57, 2-2 แฮร์รี่ คีเวลล์ (ออสเตรเลีย) น.79
<dd><b>ใบเหลือง</b> : ดาริโอ ซิมิช (โครเอเชีย) น.32, อิกอร์ ทูดอร์ (โครเอเชีย) น.38, นิโก โควัช (โครเอเชีย) น.63, สติเป้ เปลติโคซ่า (โครเอเชีย) น.70 , เบร็ทท์ เอเมอร์ตัน (ออสเตรเลีย) น.80, โยซิป ซิมูนิช (โครเอเชีย) น.90
<dd><b>ใบแดง</b> : ดาริโอ ซิมิช (โครเอเชีย) น.85,เบร็ทท์ เอเมอร์ตัน (ออสเตรเลีย) น.87,โยซิป ซิมูนิช (โครเอเชีย) น.90
<dd><b>แมน ออฟ เดอะ แมตช์</b> : แฮร์รี่ คีเวลล์ (ออสเตรเลีย)
<dd>?ขุนพลตาหมากรุก? โครเอเชีย ไม่มี โรเบิร์ต โควัช เซนเตอร์ฮาล์ฟตัวเก่ง ที่ต้องติดโทษแบนทำให้ต้องส่ง สเตปัน โทมัส ลงมายืนเป็นปราการหลังตัวกลางร่วมกับ อิกอร์ ทูดอร์ ส่วนแดนหน้าไม่มี อีวาน คลาสนิช ที่ฟอร์มตกอย่างหนักให้ อิวิก้า โอลิช ลงมาล่าตาข่ายร่วมกับ ดาโด แปร์กโซ่ หัวหอกร่างยักษ์
<dd>ขยับมาทาง ออสเตรเลีย เลือกเอา ซเล็จโก้ คาลัช นายทวารมือสองลงมาเฝ้าเสาแทน มาร์ค ชวาร์เซอร์ ขณะที่ แฮร์รี่ คีเวลล์ ยังสามารถลงมาเล่นเป็นตัวจริงสนับสนุนเกมรุกให้กับ มาร์ค วิดูก้า หัวหอกตัวเป้าได้
<dd>ออกสตาร์ตครึ่งแรกได้แค่ 2 นาที มาร์ค วิดูก้า ไปทำฟาวล์ นิโก้ โควัช เลยเสียฟรีคิกระยะ 30 หลาหน้าเขตประตู ซึ่ง ดาริโย เซอร์น่า รับหน้าที่ยิงไซด์โค้งข้ามกำแพงเสียบมุมบนสวยงาม โดยที่ ซเล็จโก้ คาลัช พุ่งปัดไม่ถึง ช่วยให้ โครเอเชีย ออกนำก่อน 1-0 อย่างรวดเร็ว และเป็นประตูที่ 10 ในชุดทีมชาติโครเอเชีย ของ เซอร์น่า ด้วย
<dd>สองนาทีต่อมา เซอร์น่า โดน สกอตต์ ชิปเปอร์ฟิลด์ เข้าเสียบหนักจนมีอาการบาดเจ็บ ต้องปฐมพยาบาลกันอยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นนาทีที่ 6 โยซิป ซิมูนิช ไปดึง มาร์ค วิดูก้า ล้มลงในเขตโทษ แต่ผู้ตัดสิน เกรแฮม โพลล์ จากอังกฤษ ใจแข็งไม่ยอมให้เป็นลุกจุดโทษ
<dd>ออสเตรเลีย เป็นฝ่ายบุกได้มากกว่า แฮร์รี่ คีเวลล์ พยายามเลื้อยตามริมเส้นกราบซ้าย แต่เปิดบอลเข้ากลางไม่ได้ ส่วน มาร์ค วิดูก้า ก็ป่วนแนวรับของตาหมากรุก ได้ดี เมื่อผ่านมา 11 นาที
<dd>เกมของจิงโจ้ เร่งเครื่องหนักขึ้นเรื่อยๆ เจสัน คูลิน่า จ่ายให้กับ มาร์ค วิดูก้า หาเหลี่ยมสับไกแต่บอลแฉลบออกหลังไปในนาทีที่ 16 จากลูกเตะมุม ออสซี่ ได้ยิงอีกสองครั้งแต่ติดบล็อกกองหลังของโครเอเชีย ทั้งหมด
<dd>นาทีที่ 24 ทีมตาหมากรุก ได้ลุ้นอีกครั้ง นิโก้ ครานจ์การ์ พาบอลทะลุขึ้นมาข้างหน้า แต่กองหลังออสซี่บล็อกไว้ให้ ซเล็จโก้ คาลัช ตามมารับไว้ได้
<dd>รูปเกมเป็นขุนพลซอคเก้อรูส์ บุกอยู่ข้างเดียว นาทีที่ 30 แฮร์รี่ คีเวลล์ ทำชิ่งกับ มาร์ค วิดูก้า ก่อนจ่ายขึ้นหน้าให้กับ แฮร์รี่ คีเวลล์ สอดขึ้นมายิงด้วยซ้ายทันที แต่ว่าโดน สติเป้ เปลติโคซ่า นายทวารโครเอเชีย เซฟไว้ได้ ก่อนที่ อิกอร์ ทูดอร์ จะตามมาเคลียร์ไว้ได้
<dd>ผ่านมา 33 นาที ออสเตรเลีย ลุยหนักแล้ว เจสัน คูลิน่า ยิงไกลจากระยะ 25 หลา บอลออกข้างไปเสียอีก ช่วงนี้ โครแอต หนุนเกมรุกไม่ได้เลยโดนตัดได้หมด
<dd>จนกระทั่งนาทีที่ 37 ออสเตรเลีย ไล่ตามตีเสมอจนได้ จากจังหวะที่ สเตปัน โทมัส ไปทำแฮนด์บอลในจังหวะที่แย่งโหม่ง ผู้ตัดสิน เกรแฮม โพลล์ ให้เป็นลูกจุดโทษทันทีกับออสซี่ ซึ่ง อิกอร์ ทูดอร์ ไปประท้วงการตัดสินเลยโดนแจกใบเหลือง ทำให้เขาจะโดนแบนในรอบสอง หากว่า โครเอเชีย ผ่านเข้ารอบไปได้ จากลูกจุดโทษ เคร็ก มัวร์ กองหลังจอมเก๋ายิงอย่างใจเย็นเข้ามุมขวาช่วยให้สกอร์กลับมาเท่ากันเป็น 1-1 จนได้ ซึ่งแฟนจิงโจ้เฮกันลั่นสนาม เนื่องจากทีมรักจะผ่านเข้ารอบหากจบด้วยสกอร์นี้
<dd>ท้ายครึ่งแรก นาทีที่ 43 โครเอเชีย ขึ้นบอลมาทาง ดาโด แปร์กโซ่ ก่อนยิงออกข้างไป ทั้งที่ อิวิก้า โอลิช เติมขึ้นมาแล้วอยากให้ แปร์กโซ่ จ่ายย้อนกลับมาให้มากกว่า จนกระทั่งครบ 45 นาที เสมอกันไปก่อน 1-1
<dd>มาเล่นกันต่อในครึ่งหลัง โครเอเชีย ที่ต้องการชัยชนะเพื่อเข้ารอบต่อไปโหมใส่ก่อนเลย ได้ลุ้นเช่นกันจากจังหวะที่ ดาริโย เซอร์น่า ครอสเข้ามาแต่ว่า คูลิน่า ป้องกันไว้ได้บอลมาถึง นิโก้ ครานจ์การ์ ยิงข้ามคานไป ในนาทีที่ 50
<dd>สองนาทีต่อมา ทีมตาหมากรุกได้ลูกฟรีคิก นิโก้ โควัช ได้ขึ้นเทคตัวโหม่งเต็มกบาลบอลข้ามคานไป ไม่มากเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม โครเอเชีย สามารถขึ้นนำได้สำเร็จในนาทีที่ 56 จากจังหวะที่ นิโก้ โควัช พาบอลขึ้นมาทางกรอบเขตโทษด้านขวาก่อนล็อคเข้ามายิงด้วยขวาบอลไม่แรงเท่าไหร่ แต่ว่า เซลจ์โก้ คาลัช รับไม่ได้ปล่อยให้บอลหลุดข้ามเส้นไปหน้าตาเฉยช่วยให้ โครเอเชีย นำอีกครั้งเป็น 2-1 จนได้
<dd>นาทีที่ 62 โจซิป โซมินิช มาโดนใบเหลืองไปเป็นคนที่สามหลังจากไปทำฟาวล์ แฮร์รี่ คีเวลล์ ปีกซ้ายออสเตรเลีย ล้มคว่ำลง จากนั้น กุส ฮิดดิ้งค์ ปรับทัพให้ จอห์น อลอยวี่ ลงมาเติมความดุดันในแดนหน้าแล้วถอด วินซื เกรลล่า กองกลางตัวรับออกมาพักในนาทีที่ 64
<dd>ถัดมานาทีเดียว โครเอเชีย เปลี่ยนผู้เล่นเป็นคนแรก ให้ เยอร์โก้ เลโก้ ลงมาแทน นิโก้ ครานจ์การ์ แต่รูปเกมเป็น ออสเตรเลีย ที่บุกได้น้ำได้เนื้อกว่า มาร์ค วิดูก้า ไหลบอลให้กับ แฮร์รี่ คีเวลล์ ยิงกลางประตูแต่โดน เปลติโกซ่า ปัดออกมาได้ จากลูกเตะมุม เปิดยาวมาเสาสอง คีเวลล์ ยิงติดกองหลังอีกครั้ง ในนาทีที่ 72 จากลูกเตะมุมโยนเข้ากลางมาบอลชุลมุนเข้าประตูไป แต่ผู้ตัดสิน เกรแฮม โพลล์ ไม่ให้บอกว่าเป็นการทำฟาวล์ เปลติโกซ่า นายทวารชาวโครแอต ก่อนแล้ว
<dd>อย่างไรก็ตาม นาทีที่ 79ออสเตรเลียก็ตามตีเสมอได้สำเร็จ จากชอตที่ มาร์โก เบรสชาโน่ ตัวสำรองเปิดบอลจากกราบขวาเข้าไปในเขตโทษ จอห์น อลอยซี่ ขึ้นโหม่งเช็ดบอลมาให้คีเวลล์ ได้สับไกด้วยขวาโล่งๆเข้าไปตุงตาข่าย
<dd>ช่วงเวลาที่เหลือ ทั้งสองทีมก็ทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ หมดเวลา 90 นาที โครเอเชีย เสมอ ออสเตรเลีย 2-2 ทำให้ทีมจิงโจ้ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายตามหลังบราซิลได้สำเร็จ โดยเป็นทีมอันดับ 2 ของกลุ่ม เอฟ และจะพบกับอิตาลี ทีมอันดับ 1 ของกลุ่ม อี ต่อไป
<dd><b>รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม</b>
<dd><b>โครเอเชีย</b>: สติเป้ เปลติโคซ่า - ดาริโอ ซิมิช, อิกอร์ ทูดอร์, สเตปัน โทมัส, โยซิป ซิมูนิช - ดาริโย เซอร์น่า, นิโก โควัช, มาร์โค บาบิช, นิโก้ ครานจ์การ์ - ดาโด แปร์กโซ่, อิวิก้า โอลิช
<dd><b>สำรอง</b>: บอสโก้ บาลาบัน, อีวาน บอสเนี่ยค, โทมิสลาฟ บูติน่า (ผู้รักษาประตู), โจ ดิดูลิก้า (ผู้รักษาประตู), อีวาน คลาสนิช, อีวาน เลโก้, เยอร์โก เลโก้, ลูก้า โมดริช, อันโธนี่ เซริช, มาริโอ โทคิช, ยูริก้า วรานเยส
<dd><b>ออสเตรเลีย</b>: ซเล็จโก้ คาลัช - ลูคัส นีลล์, เคร็ก มัวร์, สกอตต์ ชิปเปอร์ฟิลด์, เบร็ทท์ เอเมอร์ตัน, วินซ์ เกรลล่า, เจสัน คูลิน่า, ทิม เคฮิลล์, ไมล์ สเตอร์ยอฟสกี้ - แฮร์รี่ คีเวลล์, มาร์ค วิดูก้า
<dd><b>สำรอง</b>: จอห์น อลอยซี่, ไมเคิ่ล บีแชมป์, มาร์โก เบรสชาโน่, อันเต้ โกวิช (ผู้รักษาประตู), จอช เคนเนดี้, สแตน ลาซาริดิส, มาร์ค มิลิแกน, โทนี่ โปโปวิช, มาร์ค ชวาร์เซอร์ (ผู้รักษาประตู), โยซิป สโกโก้, อาร์ชี่ ธอมป์สัน, ลุค วิลท์เชียร์
<dd><b>ผู้ตัดสิน</b>: เกรแฮม โพลล์ (อังกฤษ)
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์