หลังจากยืดเยื้อมานานนับสัปดาห์ ในที่สุดศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องของน.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต เพื่อนสาวคนสนิทของน.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้อำนวยการสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ที่ยื่นศาลขอให้ไต่สวนฉุกเฉินปล่อยตัวน.พ.ประกิตเผ่า จากการควบคุมของแพทย์ร.พ.ศรีธัญญา
คดีนี้เป็นที่สนใจของสังคมอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นเรื่องราวของคนดัง แถมเต็มไปด้วยความน่าสงสัย ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนยิ่งกว่านิยายเสียอีก
จุดเริ่มเกิดขึ้นเมื่อครอบครัว “ทมทิตชงค์” หลอกล่อพาน.พ.ประกิตเผ่า หรือหมอเผ่า ส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ระหว่างที่หมอเผ่าเดินทางไปทำเรื่องหย่ากับนางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยา ที่คบหาและอยู่กินกันมานานกว่า 10 ปี จนมีบุตรถึง 2 คน
โดยระบุว่าหมอเผ่า มีอาการทางจิต เป็นโรคหวาดระแวง และเชื่อว่าเป็นผลมาจากรู้จักสนิทสนมกับน.ส.เปมิกา
มีการแฉอีกว่าหมอเผ่าเบิกเงินสดราวๆ 20-40 ล้านบาทไปจากบัญชี ขณะที่น.ส.เปมิกา ซึ่งเป็นเพียงนิสิตสาวกลับมีรถเก๋งราคาแพง มีเงินไปทำศัลยกรรม และจับจ่ายอย่างสบายมือ
จนสร้างความสงสัยให้ครอบครัวของหมอเผ่าอย่างมาก!??
ด้านน.ส.เปมิกา นิสิตสาวปี 4 จุฬาฯ อ้างว่าได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากหมอเผ่า จึงเข้าแจ้งความกับตำรวจสน.บางซื่อ เพื่อไปช่วยเหลือ แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์
จึงตัดสินใจยื่นเรื่องต่อศาลขอไต่สวนฉุกเฉิน เพราะเชื่อว่าหมอเผ่าไม่มีอาการทางจิต หากแต่ถูกจับไปกักขังเอาไว้โดยมิชอบ
หนึ่งในปมที่มีการเปิดเผยออกมาเป็นเรื่องผลประโยชน์มหาศาลนับร้อยล้านบาทของโรงเรียนกวดวิชา ที่หมอเผ่าดูแลอยู่ โดยรับสืบทอดมาจากบิดา
ศาลใช้เวลาเกือบ 2 สัปดาห์ในการสืบพยานของทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมทั้งสั่งย้ายหมอเผ่าไปรักษาตัวที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ หลังร.พ.ศรีธัญญา ถูกมองอย่างสงสัย!??
พร้อมทั้งเดินเผชิญสืบไปสอบปากคำหมอเผ่า เพราะแพทย์ไม่อนุญาตให้เดินทางมาศาล
ขณะเดียวกันมารดา-พี่ชาย และภรรยา ของหมอเผ่า เข้าร้องกองปราบปราม ให้สอบสวนที่มาของสาร”เอฟริดรีน” สารตั้งต้นของยาบ้า ซึ่งมีฤทธิ์ต่อจิตประสาท หลังแพทย์ตรวจพบว่าอยู่ในร่างกายหมอเผ่ามากกว่าผู้ป่วยที่ใช้ยานี้ถึง 200 เท่า
เชื่อว่ายาตัวนี้มีผลทำให้หมอเผ่า มีอาการหวาดระแวง
ทั้ง 2 ฝ่ายต่างงัดข้อมูลออกมาสาดใส่กัน แฉกันไปแฉกันมา ส่วนพยานของทั้ง 2 ฝ่ายก็ให้การขัดกัน โดยฝ่ายครอบครัวและแพทย์ผู้ตรวจจากหลายสถาบันยืนยันว่าหมอเผ่ามีอาการทางประสาท
แต่พยานแวดล้อมอีกจำนวนหนึ่งมองเห็นว่าหมอเผ่า เหมือนคนปกติทั่วไป!??
กระทั่งวันที่ 12 มีนาคม ศาลอาญาที่สอบพยานหลายปากมาตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม ก็มีคำตัดสินออกมา
“ปัญหาที่เกิดขึ้นจนเป็นเหตุให้น.ส.เปมิกา ยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ สืบเนื่องมาจากน.พ.ประกิตเผ่าเองที่มีอาการป่วยทางจิตแต่ไม่รู้ตัว จนอาการเริ่มแสดงให้เห็นตั้งแต่ต้นปี 2549 แต่น.พ.ประกิตเผ่าไม่ยอมรับว่าตนเองป่วย พยายามปกปิดความผิดปกติ แต่เมื่อได้รับแรงกระตุ้นจากสภาวะรอบข้างอาการจึงจะกำเริบ”
ศาลพิเคราะห์อีกว่า ส่วนเรื่องผลประโยชน์หรือรายได้ของผู้ถูกคุมขังจากสถาบันกวดวิชา ตามทางไต่สวนของศาลไม่ปรากฏว่าเป็นเหตุให้ผู้ถูกคุมขังเครียดจนต้องป่วยเจ็บ รวมถึงสารเอฟริดรีนด้วย
“อาการของผู้ถูกคุมขังนั้นผู้ถูกคุมขังคิดว่าตนเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ เป็นบุคคลสำคัญต่างๆ นานา มีอาการหลงผิด เชื่อมั่นว่าตนเองอยู่เหนือคนอื่น เชื่อเรื่องในภพที่แล้ว และรู้เห็นในภพหน้า”
นอกจากนี้จากการเดินเผชิญสืบของศาล ได้มีโอกาสพูดคุยกับน.พ.ประกิตเผ่า โดยบางช่วงบางตอน น.พ.ประกิตเผ่าได้พูดโต้ตอบกับศาลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอยู่บ้าง จากพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับว่าตนเองมีอาการป่วยทางจิตและพยายามปกปิดอาการของตนเองโดยตลอด
เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีได้ข้อยุติจากการตรวจรักษาโดยแพทย์ ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้จากการเดินเผชิญสืบของศาล ทำให้ได้ข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏข้อสงสัยว่าผู้ถูกคุมขังมีอาการป่วยทางจิตจริง และจำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ จึงไม่ใช่เป็นการคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
“คำร้องของผู้ร้องจึงไม่มีมูลที่จะขอให้ปล่อยตัวน.พ.ประกิตเผ่า จึงให้ยกคำร้อง โดยสิทธิการนำผู้ป่วยเข้ารักษาในร.พ.จิตเวชนั้นให้เป็นสิทธิของครอบครัวผู้ป่วย”!!!
สำหรับเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้คำตัดสินออกมาเช่นนี้ ประเด็นหลักน่าจะมาจากความเห็นของแพทย์หลายสถาบันที่ร่วมตรวจอาการของหมอเผ่า ระบุตรงกันว่ามีอาการป่วยจริง
ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ร.พ.ศรีธัญญา แพทย์อีก 3 โรงพยาบาลที่มาร่วมตรวจสอบหลังร.พ.ศรีธัญญา ถูกมองอย่างไม่ไว้ใจ
และสุดท้ายที่มีน้ำหนักมากที่สุดคือแพทย์จากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ที่ศาลมีคำสั่งให้ย้ายหมอเผ่าจากศรีธัญญา ไปรักษาตัว ก็มีความเห็นแนวทางเดียวกันทั้งหมด
“จากการตรวจพบว่า ผู้ป่วยมีความหวาดระแวงอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะเกิดอารมณ์หุนหันพลันแล่นได้ง่าย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น จึงเห็นควรได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวชจนกว่าอาการจะทุเลาและปลอดภัยต่อผู้อื่น”
พ.ญ.ดวงตา ไกรภัสสร์พงษ์ แพทย์จากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เจ้าของไข้ หนึ่งในพยานสำคัญที่ขึ้นเบิกความ ยืนยันต่อศาลว่าจากการตรวจวินิจฉัยอาการของหมอเผ่าของคณะกรรมการ ประชุมสรุปว่าหมอเผ่าป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนที่มีอาการของโรคจิตร่วมด้วย
แพทย์สรุปว่า เนื่องจากผู้ป่วยยังมีอาการทางจิตในระดับรุนแรง จึงควรได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวชจนกว่าอาการจะทุเลาและปลอดภัยต่อผู้อื่น!??
พร้อมกับการปิดฉากคดีคลี่คลายปริศนาที่ว่าหมอเผ่ามีอาการป่วยทางจิต หรือถูกพาไปกักขังเอาไว้เพราะสาเหตุอื่นหรือไม่ ตระกูลทมทิตชงค์ ก็เริ่มปฏิบัติการ”เอาคืน”เปมิกา ในทันทีทันใด
นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาหมอเผ่าส่งทนายความเข้ายื่นฟ้องน.ส.เปมิกา ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในฐานความผิดเป็นมูลละเมิดค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนทำนองชู้สาว โดยเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 27 ล้านบาท!!!
โดยระบุว่าจำเลย มีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาว ทำให้เสียหายแก่โจทก์ บุตร คนในครอบครัวและกิจการที่โจทก์ทำอยู่ รวมทั้งเสียหายต่อสุขภาพจิต อันเป็นความเสียหายแก่อนามัยของโจทก์และบุตรทั้งสอง
“ประมาณกลางปี 2549 จำเลยได้เข้ามาตีสนิทกับสามี จนกระทั่งต้นปี 2550 จำเลยได้บังอาจแสดงตนโดยเปิดเผยต่อสาธารณชนและบุคคลทั่วไปเพื่อแสดงว่ามีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาว ทั้งยังแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า มารดา และพี่ชายของสามีโจทก์ นำสามีโจทก์ไปรักษาพยาบาลอาการป่วยทางโรคจิตเวชที่ร.พ.ศรีธัญญาว่า เป็นการสมคบร่วมกันนำตัวสามีโจทก์ไปคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว สามีโจทก์ป่วยทางโรคจิตเวช แต่จำเลยมุ่งที่จะเอาตัวสามีโจทก์มาอยู่กับจำเลย ในฐานะสามีจำเลย อันเป็นการใช้สิทธิที่มีแต่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์”
คำฟ้องระบุอีกว่า นอกจากนี้ยังให้ข่าวต่อสื่อมวลชน โดยกล่าวชัดเจน เปิดเผยความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว ระหว่างจำเลยกับสามีโจทก์อีกหลายครั้ง สรุปได้ว่า สามีโจทก์มีปัญหากับครอบครัว ภรรยาไม่ดูแลเอาแต่เงิน มีปัญหาทะเลาะกันตลอด อันไม่เป็นความจริงตามที่จำเลยได้อ้าง
โจทก์จึงจำต้องขอบารมีศาลบังคับจำเลยให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ดังนี้ คือ ขอคิดค่าทดแทนจากการที่จำเลยมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์โดยเปิดเผยในทำนองชู้สาวเป็นเงิน 12 ล้านบาท
ความเสียหายจากการที่จำเลยได้ทำให้โจทก์และบุตรของโจทก์ต้องทุกข์ระทมตรมใจอย่างแสนสาหัส เป็นเงิน 10 ล้านบาท และค่าเสียหายเกี่ยวกับเกียรติยศ ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล และทางทำมาหาได้อีก 5 ล้านบาท รวมค่าเสียหายเป็นเงิน 27 ล้านบาท
ศาลนัดพร้อมคู่ความวันที่ 22 พ.ค. 2550 เวลา 09.00 น.
ขณะที่นางอลิสา กล่าวว่า อยากให้สังคมรับรู้ข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว ขอความกรุณาอยากให้ทุกคนมองว่าหลังจากน.พ.ประกิตเผ่าเป็นแบบนี้แล้ว หากกลับเข้าสังคมจะอยู่ในสังคมอย่างไร ขอให้เห็นใจ อย่ามองเป็นตัวตลก
“มีการโอนเงินออกจากบัญชีของสามีจริง จำนวนเงินนั้นก็ตามที่น.พ.ประกิตพันธ์ให้ข่าวไปก่อนหน้านี้คือ 20-30 ล้านบาท ส่วนรถเก๋งคัมรี่ ทะเบียน สห 9999 กทม.ของน.ส.เปมิกานั้น พบว่ามีการไปซื้อรถยนต์จริง มีการโอนทะเบียน โอนรถกันประมาณเดือนม.ค.2550 แต่เชื่อว่าเป็นการหลอกลวง และใช้จิตวิทยาหมู่”
ภรรยาหมอเผ่า ยืนยันว่านอกจากการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ส่งทนายไปดำเนินการแล้ว จะฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนจากน.ส.เปมิกา ทั้งหมดด้วย!!!
นอกจากจะโดนภรรยาหมอเผ่า ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินมหาศาลแล้ว ยังโดนซ้ำดาบ 2 และดาบ 3 ด้วยคณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และตำรวจกองปราบปราม ที่เรียกตัวมาสอบปากคำกรณีสารเอฟริดรีนด้วย
นายเกื้อ วงศ์บุญสิน รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าหากศาลมีคำตัดสินในคดีที่น.ส.เปมิกาถูกฟ้องร้องแล้ว จะตั้งคณะกรรมการกิจการนิสิตเป็นผู้พิจารณาความผิดทางวินัย
ส่วนเรื่องการเรียนของน.ส.เปมิกา ก็มีปัญหาเช่นกันเพราะขาดสอบไป 3 วิชา ทำให้ปีนี้ไม่จบการศึกษาแน่นอน
ทางด้านกองปราบปราม ที่ทำเรื่องให้น.ส.เปมิกามาให้ปากคำเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่ได้เดินทางมาตามนัด!??
อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าน.ส.เปมิกา นั้นเก็บตัวอย่างเงียบเชียบ หลังศาลมีคำสั่งยกคำร้องคดีหมอเผ่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ด้วยซ้ำ
ตำรวจจึงออกหมายเรียกอีกครั้ง และจะมีมาตรการทางกฎหมายต่อไปหากยังไม่ยอมมาปรากฏตัว
ดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์พลิกผันอย่างสิ้นเชิงจากช่วงแรกที่เกิดเรื่องขึ้น เพราะน.ส.เปมิกา ที่เคยเป็นฝ่ายรุกไล่ กลับต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ
และเป็นการตั้งรับชนิดเจียนอยู่ เจียนไป โดยแทบไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้เลย!??
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์