“เปมิกา”เครียดจนต้องหลบไปพักที่บ้านพ่อ เพื่อนสนิทเผย”น้องเป”ไม่สบายใจ ไม่ขอให้ข่าวระยะหนึ่ง แต่จะเปิดแถลงใหญ่หลังศาลตัดสิน 9 มี.ค.นี้ โวยครอบครัวทมทิตชงค์เอาเรื่องส่วนตัวมาโจมตี ยอมรับเปลี่ยนชื่อจริงเพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล ทำศัลยกรรมก็ทำจริงเมื่อ 9 ปีก่อน แม่หมอประกิตเผ่าแจ้งความกองปราบฯให้สอบสวนหาที่มาของสารเอฟริดรีนว่าใครเป็นคนมอมยาลูกชายจนป่วยทางจิต สอบสวนว่าใครคือผู้ประสงค์ร้ายกับครอบครัว นิสิตจุฬาฯทั้งใหม่-เก่าแถลงวันนี้หลังมีการพาดพิงถึงมหาวิทยาลัยจนเสื่อมเสีย รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตระบุหมอเผ่าอาการทุเลาขึ้น ขับสารเอฟริดรีนหมดจากร่างกายไปแล้ว จะหายขาดภายใน 1 เดือนนี้ อย.ชี้เอฟริดรีนเป็นสมุนไพรจีนมีชื่อว่ามาฮวง นิยมไปทำยาลดความอ้วน ไทยไม่มีการขึ้นทะเบียน แฉคนนิยมไปทำเป็นซองชงแบบชาให้ดื่ม
จากกรณีน.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต นิสิตสาวปี 4 คณะจิตวิทยา จุฬาฯ เข้าร้องทุกข์ตำรวจสน.บางซื่อ ให้ช่วยเหลือน.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ หรือหมอเผ่า เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ สถาบันกวดวิชาชื่อดังระดับประเทศ โดยอ้างว่าหมอเผ่าถูกมารดา พี่ชาย และภรรยาจับส่งร.พ.ศรีธัญญาอย่างมีพิรุธเงื่อนงำ ขณะที่ผอ.ร.พ.ศรีธัญญาแถลงยืนยันหมอเผ่ามีอาการป่วยทางจิต ประเภทหวาดระแวง ต่อมาตำรวจนำคดียื่นฟ้องต่อศาล ภายหลังศาลนัดไต่สวนคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา แพทย์ร.พ.ศรีธัญญาไม่สามารถนำตัวหมอเผ่ามาศาลตามคำสั่งได้ คณะผู้พิพากษาจึงเดินเผชิญสืบไปสอบหมอเผ่าถึงเตียงร.พ.ศรีธัญญา ก่อนมีคำสั่งย้ายหมอเผ่าไปตรวจรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ระหว่างพิจารณาคดี โดยนัดไต่สวนอีกครั้งวันที่ 9 มี.ค.นี้
ล่าสุดครอบครัวหมอเผ่าเปิดบ้านย่านเรวดี แถลงขอความเป็นธรรมให้กับตระกูลทมทิตชงค์ โดยเปิดเผยว่าหมอเผ่าเริ่มผิดปกติช่วงปลายปี”49 หลังรู้จักกับกลุ่มน.ส.เปมิกา โดยโอนเงิน 40 ล้านบาท ทำพินัยกรรม และเตรียมหย่ากับภรรยา อาการหนักถึงขั้นเพ้อว่าถูกคุณไสย หวาดระแวงต้องพกปืน สวมเสื้อเกราะ หลังส่งตัวหมอเผ่าเข้าตรวจรักษาที่ร.พ. พบสารอันตราย”เอฟริดรีน”ในร่างกายปริมาณสูงมาก ขณะที่ตรวจสอบประวัติน.ส.เปมิกาพบว่า เปลี่ยนชื่อ-นามสกุลมาแล้ว 3 รอบ จากเดิม “ศิวพร เหลืองเรณูกุล” เป็น “ชิศา” แล้วกลับมาใช้ “ศิวพร” ตามเดิม ต่อมา 26 ต.ค. 2549 เปลี่ยนเป็น “เปมิกา วีรชัชรักษิต” แปลว่าหญิงอันเป็นที่รัก ซึ่งน.ส.เปมิการะบุว่าหมอเผ่าเป็นคนตั้งให้ ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้ติดต่อไปยังโทรศัพท์มือถือของน.ส.เปมิกา เพื่อขอสัมภาษณ์ แต่มีเพื่อนชายรุ่นพี่ของน.ส.เปมิกา เป็นผู้รับสายและแจ้งว่าน.ส.เปมิกาไปพักผ่อนอยู่กับพ่อในกทม. และไม่ขอให้ข่าวระยะหนึ่ง เนื่องจากขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ซึ่งหลังจากวันที่ 9 มี.ค. ศาลตัดสินแล้ว น.ส.เปมิกาและเพื่อนๆ จะเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเพื่อชี้แจงประเด็นที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากขณะนี้น.ส.เปมิการู้สึกไม่สบายใจที่ฝ่ายของน.พ.ประกิตพันธ์พยายามออกมาให้ข่าวนอกประเด็น นำเรื่องส่วนตัวมาพูดโจมตี ทั้งที่น.ส.เปมิกาไม่เคยให้ข่าวโจมตีฝ่ายของน.พ.ประกิตพันธ์และครอบครัวแต่อย่างใด
“ผมเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของน.ส.เปมิกาตั้งแต่สมัยเรียนกวดวิชาด้วยกัน และรู้จักกันกับน.พ.ประกิตเผ่า ซึ่งตอนนี้น.ส.เปมิการู้สึกไม่สบายใจจึงไปพักผ่อนกับคุณพ่อ อยากให้สังคมเข้าใจว่าสิ่งที่น.ส.เปมิกาทำเป็นสิทธิ์ที่ไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี ส่วนที่อีกฝ่ายออกมาให้ข่าวนั้น ทั้งที่บอกว่ามีการพยายามใช้จิตวิทยาหมู่กับน.พ.ประกิตเผ่านั้น ผมอยากให้ผู้เกี่ยวข้องไปศึกษาว่าจริงๆ แล้ว จิตวิทยาหมู่เป็นอย่างไร”
สำหรับข่าวที่ระบุว่าน.ส.เปมิกาไปทำศัลยกรรม และมีการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลบ่อยๆ นั้น เพื่อนชายคนเดิมกล่าวว่า การเปลี่ยนชื่อบ่อยเป็นสิทธิ์ที่ทุกคนสามารถทำได้ ส่วนเรื่องทำศัลยกรรมใบหน้านั้น น.ส.เปมิกาทำจริงเมื่อ 9 ปีก่อน
ต่อมาเวลา 11.30 น. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 77/202 ม.7 หมู่บ้านชลลาดา ถ.วัดเกาะ แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม. ซึ่งเป็นบ้านพักของนายวีรชาติ เหลืองเรณูกุล บิดาของน.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต จากการตรวจสอบพบว่าบ้านดังกล่าวเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ปลูกในเนื้อที่ 50 ตารางวา ภายในบ้านมีชายอายุประมาณ 60 ปีอยู่ด้านในจึงได้สอบถามหานายวีรชาติว่าเป็นเจ้าของบ้านดังกล่าวหรือไม่ แต่ชายคนดังกล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้ชื่อวีรชาติ แต่ชื่อสมชาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างผู้สื่อข่าวขับรถเดินทางกลับ ชายที่ระบุว่าชื่อสมชายได้ขับรถซีตรอง สีบรอนซ์ทอง ตามออกมาก่อนจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่รปภ.ปิดประตูหมู่บ้านไม่ให้ผู้สื่อข่าวออก และจดชื่อและนามสกุลของผู้สื่อข่าวไว้ โดยสอบถามว่ามาถามหานายวีรชาติทำไม ผู้สื่อข่าวแจ้งว่าต้องการขอสัมภาษณ์นายวีรชาติ เนื่องจากเป็นบิดาของน.ส.เปมิกา ชายคนดังกล่าวจึงยอมบอกให้รปภ.เปิดประตูหมู่บ้าน
บ่ายวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 158 ซอยโรหิตสุข ย่านห้วยขวาง กทม. ซึ่งเป็นบ้านมารดาของน.ส.เปมิกา พบบ้านหลังดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา มีรั้วสังกะสีล้อมรอบ ภายในรั้วบ้านมีหญ้าขึ้นรกชัฏ และไม่มีผู้ใดพักอาศัยอยู่เลย
ก่อนหน้านี้ เวลา 10.00 น. ที่กองปราบปราม รศ.เพลินจิต น.พ.ประกิตพันธ์ และนางอลิสา ทมทิตชงค์ มารดา พี่ชาย และภรรยาของน.พ.ประกิตเผ่า เดินทางเข้าพบพ.ต.ท.สมบัติ มาลัย พงส.(สบ.2) กลุ่มงานสอบสวนบก.ป. เพื่อยื่นเอกสารคำร้องทุกข์ขอให้ช่วยสืบสวนหาที่มาของสารเอฟริดรีนที่พบในร่างกายน.พ.ประกิตเผ่าว่ามาจากไหนหรือปนเปื้อนมากับอะไร ทำไมถึงเข้าไปอยู่ในร่างกายของน.พ.ประกิตเผ่า ก่อนเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีธัญญา เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ได้สร้างความเสื่อมเสียให้กับบุตรชายและวงศ์ตระกูลอย่างไม่เป็นธรรม โดยในเอกสารคำร้องทุกข์ดังกล่าวได้ระบุว่าขอให้ตำรวจกองปราบปรามเข้าช่วยตรวจสอบหาความจริงในครั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาถึงอาการทางจิตของน.พ.ประกิตเผ่าในชั้นศาลที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 มี.ค. ที่จะถึงนี้แต่อย่างใด
รศ.เพลินจิตให้การว่า ช่วงเดือนก.ย.2549 น.พ.ประกิตเผ่าได้ถูกน.ส.เปมิกา และเพื่อนชักนำให้เชื่อว่ามีความสามารถในการนั่งสมาธิ หลังจากนั้นบุตรชายก็เริ่มมีอาการผิดปกติซึ่งทางครอบครัวได้สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการถูกกระตุ้นด้วยยาเอฟริดรีนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดอาการทางจิต หลังจากนั้นตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา บุตรชายได้หลบหน้าครอบครัว แต่ยังมีการติดต่อกับน.พ.ประกิตพันธ์ทางโทรศัพท์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นครอบครัวเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นว่าน.พ.ประกิตเผ่า ต้องได้รับสารเอฟริดรีนในปริมาณที่สูงมาก
“ทุกครั้งที่พูดคุยกันทางโทรศัพท์ หมอเผ่าจะมีอาการเหนื่อยหอบ และพูดจาวกวน สลับกับอาการปกติโดยเป็นแทบจะทุก 6-8 ชั่วโมง ครอบครัวจึงได้พร้อมใจกันช่วยหาวิธีติดตามตัวหมอเผ่าให้เข้าไปตรวจรักษาอาการผิดปกติดังกล่างอย่างเร่งด่วน เพราะเกรงว่าอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต” ร.ศ.เพลินจิตกล่าว
ร.ศ.เพลินจิตให้การต่อว่า หลังจากที่นำตัวบุตรชายเข้าตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญาแล้ว จึงทราบว่าในร่างกายของหมอเผ่ามีสารเสพติดที่ชื่อเอฟริดรีนอยู่ในร่างกายในปริมาณที่สูงมากจนมีอาการทางจิต คาดว่าสารดังกล่าวน่าจะสะสมอยู่ในร่างกายตั้งแต่ช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.2549 เนื่องทางครอบครัวเริ่มพบความผิดปกติในช่วงเวลานั้น ประกอบกับได้ข้อมูลจากนางอลิสา ภรรยาของลูกชายเล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ถึง 1 ต.ค.เคยช่วยเหลือน.พ.ประกิตเผ่า พิสูจน์ว่าผู้นำของกลุ่มบุคคลที่อ้างว่ามีความสามารถพิเศษในการนั่งสมาธินั้นสามารถนั่งสมาธิถึงขั้นเข้าฌานได้จริง
รศ.เพลินจิตให้การด้วยว่า หลังจากนั้นมาน.พ.ประกิตเผ่าเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมากและมีการคบหากับกลุ่มบุคคลดังกล่าวอย่างลับๆ เรื่อยมา เป็นเหตุให้เชื่อว่าน.พ.ประกิตเผ่าถูกกระตุ้นด้วยสารเอฟริดรีนและใช้จิตวิทยาหมู่ชักจูงให้หลงใหลอย่างต่อเนื่อง จนมีอาการทางจิตพร้อมกับเกิดอาการกระสับกระส่าย เมื่อไม่ได้ไปนั่งสมาธิกับกลุ่มคนพวกนั้น แท้จริงแล้วอาการดังกล่าวน่าจะเกิดจากภาวะที่ร่างกายต้องการสารเอฟริดรีนนั้นเอง
“ลูกชายยังถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีชักจูงความคิดให้เชื่อว่ากำลังถูกสมาชิกในครอบครัววางแผนฆ่า เพื่อฮุบทรัพย์สมบัติ จนทำให้มีอาการหวาดระแวงคนในครอบครัวถึงขนาดต้องใส่เสื้อเกราะ และพกพาอาวุธปืนอยู่ตลอดเวลา เรื่องราวมัวหมองที่เกิดขึ้นกับครอบครัวทมทิตชงค์ในขณะนี้ เชื่อว่ามีกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ต้องการสร้างความร้าวฉานในครอบครัวเพื่อต้องการทรัพย์สิน และทำลายธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาอย่างแน่นอน ดังนั้น สมาชิกในครอบครัวทมทิตชงค์ จึงเห็นว่าต้องเข้าขอความช่วยเหลือจากตำรวจกองปราบปรามให้ช่วยสืบสวนหาความจริงว่า สารเอฟริดรีนในร่างกายของหมอเผ่านั้นได้รับมาอย่างไร และใครคือผู้ประสงค์ร้ายกับครอบครัว” มารดาน.พ.ประกิตเผ่า กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังรับเรื่องร้องเรียนพ.ต.ท.สมบัติ ได้นำร.ศ.เพลินจิต และนางอลิสา เข้าพบกับพล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผบก.ป. ภายในสำนักงานพล.ต.ต.วรศักดิ์ รับปากกับสมาชิกครอบครัวทมชิตชงค์ว่าจะเร่งรีบพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว ขณะที่ร.ศ.เพลินจิต ขอร้องให้กองปราบปรามเข้ามาทำคดีนี้ เนื่องจากข่าวที่ออกมาทำให้ครอบครัวได้รับความเสียหาย
ด้านพล.ต.ต.วรศักดิ์กล่าวว่า หลังจากรับเรื่องมาแล้วจะเรียกประชุมพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้อง ส่วนจะมอบหมายให้ใครดูแลคดีนี้นั้นจะพิจารณาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามจะเร่งรีบพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เนื่องจากครอบครัวของน.พ.ประกิตเผ่า ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการนำเสนอข่าวที่มีอย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายนิสิตจุฬาฯซึ่งประกอบด้วยนิสิตปัจจุบันและศิษย์เก่าจากคณะต่างๆ จะได้รวมตัวกันเฉพาะกิจเพื่อแสดงจุดยืนกรณีของน.ส.เปมิกา ที่คณะอักษรศาสตร์ ในเวลา 14.00 น. วันที่ 6 มี.ค. เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเว็บบอร์ดต่างๆ ซึ่งพาดพิงมหาวิทยาลัยจนทำให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง โดยหนึ่งในนิสิตผู้ประสานงานระบุว่า การแสดงจุดยืนครั้งนี้ พูดถึงในส่วนของจริยธรรมของนิสิตเท่านั้น และไม่มีการพูดพาดพิงถึงคดีความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
วันเดียวกัน น.พ.อภิชัย มงคล รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงความคืบหน้าอาการป่วยของน.พ.ประกิตเผ่า หลังจากศาลสั่งให้นำตัวจากร.พ.ศรีธัญญาเข้ารักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ว่า ขณะนี้อาการน.พ.ประกิตเผ่าค่อยๆ ทุเลาขึ้น สังเกตได้จากผู้ป่วยให้ความร่วมมือกับแพทย์ผู้ให้การรักษาเป็นอย่างดี ซึ่งการที่แพทย์ทราบสาเหตุของอาการป่วย ทำให้การรักษาง่ายขึ้น โดยน.พ.ประกิตเผ่าอาจจะหายขาดเป็นปกติได้ในเวลาประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้ สาเหตุจากการผิดปกติทางสมองหรือจิตใจนั้น หากไม่ทราบสาเหตุถือว่ารักษาให้หายเป็นปกติยากกว่า
น.พ.อภิชัยกล่าวว่า สำหรับการตรวจเจอเอฟริดรีน ซึ่งมีการตกค้างในร่างกายเกินกว่า 200 มิลลิกรัมในครั้งแรกนั้น ขณะนี้ร่างกายได้ขับสารนี้ออกไปหมดแล้ว ประเด็นที่ต้องติดตามคือน.พ.ประกิตเผ่าได้รับสารนี้ได้อย่างไร โดยครอบครัวก็ได้ร้องขอตำรวจในการสืบหาที่มาของสารดังกล่าวร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยเฝ้าระวังอาหารเสริมที่ต้องสงสัยที่มีเอฟริดรีนที่อยู่ในรูปการรับประทาน ซึ่งทางอย.ถือเป็นผลิตภัณฑ์ห้ามขายแต่อาจมีการเล็ดลอดนำเข้ามาได้ เนื่องจากมีขายอย่างแพร่หลายในอเมริกา ในลักษณะของยาเม็ดบำรุงร่างกาย แต่ต้องมีข้อคำเตือน เช่น เลิกรับประทานยาภายใน 7 วัน อีกทั้งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักกีฬา ใช้ลดน้ำหนัก แต่ต้องใช้ในปริมาณไม่มาก แต่หากใช้ไปในทางผิดวัตถุประสงค์ ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้มีอาการดื้อยา หรือมีความต้องการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในอเมริกาพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาเอฟริดรีนถึง 155 ราย จากอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวายเฉียบพลัน นอกจากนี้ยังพบผู้มีอาการทางจิตด้วย
“ส่วนข้อสัษนิษฐานในการฉีดสารดังกล่าวเข้าร่างกายไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากตามหลักทางการแพทย์ หากผู้ที่ไม่เคยใช้สารชนิดนี้มาก่อนแล้วฉีดเข้าไป อาจทำให้หัวใจวายได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ป่วยมีสติสามารถตอบคำถามได้น่าจะเป็นผู้ให้คำตอบได้ชัดที่สุดว่าสารชนิดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร” น.พ.อภิชัย กล่าว
ด้านน.พ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรืออย. กล่าวว่า สารเอฟริดรีนเป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 ปีที่ผ่านมา อย.นำเข้า 1 กิโลกรัมเศษ และมั่นใจว่าไม่มีการจำหน่ายยาฉีด หรือยาในรูปแบบผงและเม็ดอยู่ในท้องตลาด แต่พบสารนี้ได้ในสมุนไพรจีนชื่อ “มาฮวง” แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครใช้แล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาทในวันที่ 6 มี.ค.นี้ จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบย่านเยาวราชว่ามีสมุนไพรมาฮวงจำหน่ายอยู่หรือไม่ รวมทั้งสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มักพบว่ามีการลักลอบผสมสารเอฟริดรีนในยาลดน้ำหนัก แพทย์ระบุสารเอฟริดรีน ถ้าใช้ในปริมาณมากจะทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ แต่ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเดือนจะทำให้ประสาทหลอน หวาดระแวง คล้ายกับกินยาบ้าได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบ “มาฮวง” พบว่าสมุนไพรจีน หรือเรียกอีกชื่อว่า “มั่วอึ๊ง” ใช้เป็นยาแก้ไอ แก้หืดหอบ และขับปัสาวะ ที่ผ่านมาประเทศในแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกานิยมใช้มาฮวงเป็นอาหารเสริม ใส่ซองชงดื่มคล้ายชา หรือบรรจุเป็นแคปซูล อ้างสรรพคุณว่าลดความอยากอาหาร เสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย ต่อมาระหว่างปี 2537-2540 อเมริกาพบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากมาฮวงกว่า 800 ราย พบเพราะว่ามีสารเอฟริดรีน มีอาการความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดปกติ การเต้นหัวใจล้มเหลว สำหรับประเทศไทยไม่มีการขึ้นทะเบียนตำรับอาหารที่มีมาฮวงเป็นส่วนผสม มีใช้เฉพาะยาแผนโบราณ โดยแจ้งสรรพคุณแก้หอบหืด ไอ ขับเสมหะ
ข้อมูลจาก :