แม่หมอประกิตเผ่าออกแถลงการณ์ตีแผ่เหตุต้องส่งลูกชายเข้าร.พ.ศรีธัญญา ระบุเริ่มมีอาการผิดปกติตั้งแต่เดือนก.ย.ปีก่อน หลังรู้จักกับกลุ่มของ”เปมิกา” เพราะลูกชายหันฝักใฝ่การนั่งสมาธิ ต่อมาก็มีอาการหวาดระแวงใส่เสื้อเกราะพกปืน เพ้อว่าเมียจะฆ่าฮุบสมบัติ แถมยังโอนย้ายเงิน 40 ล้านแล้วทำพินัยกรรมไว้แล้วด้วย ก่อนขอหย่ากับเมีย บอกว่าโดนคุณไสย โดนเสกตะปูเกลียว-นอต-มีดโกนเข้าท้องจนอาเจียนออกมาเป็นเลือดจนพี่ชายต้องพาไปรักษาอาการ ระบุแพทย์ยันมีสารเอฟริดรีนในร่างกาย เป็นเหตุให้เกิดอาการทางจิต ต้องรักษาให้สารนี้หมดจากร่างกายแล้วอาการจะดีขึ้น ส่วน”เปมิกา”เพื่อนสนิทหมอประกิตเผ่าตอบโต้ทันควัน ไม่เคยสะกดจิตหมอ อีกทั้งหมอเผ่าเป็นคนชักชวนให้ไปนั่งสมาธิก่อน ระบุที่ต้องออกมาเรียกร้องเพราะหมอเผ่าขอร้องให้ช่วย
แม่-พี่-เมีย”หมอเผ่า”เปิดแถลง
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 3 มี.ค. รศ.เพลินจิต ทมชิตชงค์ มารดาของน.พ.ประกิตเผ่า พร้อมน.พ.ประกิตพันธ์ พี่ชาย นางอลิสา ภรรยาของน.พ.ประกิตเผ่า เปิดบ้านพักภายในซอยเรวดี ย่านเมืองนนทบุรี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน รศ.เพลินจิตนำแถลงการณ์แจกจ่ายกับสื่อมวลชน จากนั้นกล่าวว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับน.พ.ประกิตเผ่า ตนได้เขียนไว้ในแถลงการณ์นี้หมดแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งลูกชายของตนมีอาการเปลี่ยนไป จะเห็นได้ว่าลูกชายของตน และครอบครัวได้ตกเป็นเหยื่อจากการกระทำกันเป็นขบวนการเพื่อให้เกิดความสูญเสียชื่อเสียงและทรัพย์สิน กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีความสามารถสูงในการใช้จิตวิทยาหมู่ การชี้แจงในวันนี้จึงเกิดขึ้น และหวังว่าครอบครัวของตนจะได้รับความเป็นธรรมจากสังคม และเรียกร้องให้ท่านผู้ที่มีอำนาจเกี่ยวข้องเข้ามาดำเนินการกับบุคคลกลุ่มดังกล่าว
รศ.น.พ.ประกิตพันธ์กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องชายเป็นฝีมือของกลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นผู้มีความสามารถสูงในการนั่งสมาธิ โดยการชักนำจากน.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต เพื่อนสาวของหมอประกิตเผ่า โดยกลุ่มคนดังกล่าวใช้จิตวิทยาในการเกลี้ยกล่อมให้หมอประกิตเผ่าเข้าใจผิดว่าภรรยาต้องการฆ่าเพื่อฮุบสมบัติ ประกอบกับมีการมอมสารเสพติดเอฟริดีน ซึ่งสารดังกล่าวถ้าใช้ในระยะเวลานานจะก่อให้เกิดอาการหวาดระแวง อีกทั้งเมื่อกลางเดือนม.ค.ที่ผ่านมา พบว่าหมอประกิตเผ่าได้โอนย้ายเงินในบัญชีประมาณ 40 ล้านบาทและบอกว่าได้ทำพินัยกรรมแล้ว
“ครอบครัวทมทิตชงค์ขอความเป็นธรรมจากสังคมว่าภายหลังเกิดเหตุการณ์ขึ้นส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูกๆของนายแพทย์ประกิตเผ่าเอง” น.พ.ประกิตพันธ์กล่าวและว่า หลังจากที่ศาลมีคำสั่งส่งหมอประกิตเผ่าไปรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์แล้วตนรู้สึกเป็นห่วงน้องชายมาก เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับการรักษาของทางสถาบันฯ แต่เชื่อว่าเป็นสถานที่ที่เป็นกลาง และหวังว่าจะไม่มีการรบกวน ถ้าไม่มีการรบกวนน้องชายจะฟื้นตัวเร็ว ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่ามีการนำตำรวจไปเฝ้าหน้าอาคารที่หมอประกิตเผ่ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีธัญญานั้น เป็นตำรวจที่สนิทกับตน ซึ่งขอให้ไปดูแลรักษาความปลอดภัยให้น้องชาย เนื่องจากเกรงว่าจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาทำร้าย ขณะที่น้องชายรักษาตัวอยู่ไม่ได้ไปกีดกั้นหรือสั่งห้ามการเข้าเยี่ยม
นอกจากนี้รศ.น.พ.ประกิตพันธ์ยังมอบหมายให้ทนายความส่วนตัวดำเนินการฟ้องร้องน.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต เพื่อนสนิทของหมอประกิตเผ่าตามกระบวนการกฎหมายด้วย
แม่แฉเริ่มมีอาการตั้งแต่ก.ย.
สำหรับเนื้อหาแถลงการณ์ของรศ.เพลินจิตมีใจความว่า “ดิฉัน รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ ข้าราชการบำนาญ สังกัดเดิมคือคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอแถลงถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการรักษาของผู้ป่วยชื่อนายประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้เป็นบุตรชายของดิฉัน ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตเวช มีอาการหลง เข้ารับการรักษาในร.พ.ศรีธัญญา ในสังกัดของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 19 ก.พ.2550
เหตุที่นำตัวมารักษาเนื่องมาจากว่า ช่วงเดือนก.ย.2549 บุตรชายของดิฉันได้พบกับกลุ่มนักเรียนเก่าและถูกชักนำให้เชื่อว่าบุคคลบางคนในกลุ่มซึ่งเป็นผู้หญิงและกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เป็นผู้มีความสามารถในการนั่งสมาธิ และขณะนี้เป็นที่ทราบกันแล้วว่าคือกลุ่มบุคคลที่นำโดยน.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต (ชื่อเดิมนางสาวศิวพร เหลืองเรณูกุล) และเริ่มมีการติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง อันที่จริงภรรยาของบุตรชายให้ประวัติว่านิสิตหญิงผู้นี้ได้เพียรพยายามมาขอเข้าพบ และปรึกษาปัญหาครอบครัวกับน้องชายเป็นระยะ โดยอาศัยความเป็นศิษย์เก่า แต่ไม่เคยแสดงตนว่ามีความสามารถในการนั่งสมาธิมาก่อน ต่อเมื่อจับได้ว่าบุตรชายสนใจด้านนี้อย่างมาก จึงได้แสดงตนว่ามีรู้มีญาณในชั่วข้ามคืนของช่วงปลายเดือนก.ย.2549
จากนั้นบุตรชายเลื่อมใสบุคคลกลุ่มนี้มากและมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ มีอาการหวาดระแวงและกล่าวว่ามองเห็นวิญญาณ เดือนพ.ย.2549 บุตรชายขอมีอำนาจในการสั่งจากเงินในกิจการครอบครัวแต่เพียงผู้เดียวอย่างไม่มีเหตุผล แต่ดิฉันต้องยินยอมเพราะเขาแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดมาก เดือนธ.ค.2549 เริ่มพูดว่าภรรยาต้องการจะฆ่าเพื่อฮุบสมบัติ โดยไม่ยอมรับฟังคำชี้แจงจากภรรยา และบอกว่าตนเป็นผู้มีฌาน สามารถทราบได้ทุกอย่าง อีกทั้งกล่าวเป็นนัยว่ามีผู้หญิงอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต แต่เขาไม่สนใจ ต้นเดือนธ.ค.เริ่มห่างเหินครอบครัวและสวดมนต์ติดต่อกันหลายวัน ปลายเดือนธ.ค.มีอาการซึมผิดปกติเป็นระยะ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้มีโทรศัพท์เข้าบ้านของบุตรชายเพื่อกลั่นแกล้งภรรยาของบุตรอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก่อให้เกิดการเข้าใจผิดภายในครอบครัวเป็นอย่างมาก
ผิดปกติ-โอนย้ายเงิน40ล้าน
แถลงการณ์ของแม่หมอประกิตเผ่าระบุอีกว่า ม.ค.2550 บุตรชายมีอาการหวาดระแวง ใส่เสื้อเกราะพกปืน กลุ่มบุคคลที่นั่งสมาธิด้วยกันได้ปฏิบัติการรบกวนโดยการติดต่อทางโทรศัพท์อย่างหนัก ทั้งที่แสดงตัวและไม่แสดงตัวแต่เรามีหมายเลขที่ได้โทร.กลับจึงทราบว่ามาจากโทรศัพท์มือถือของนิสิตหญิงดังกล่าว แต่ผู้พูดจะเปลี่ยนน้ำเสียงและตัวบุคคลไปเรื่อยๆ ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.2550 เป็นต้นมา บุตรชายได้มีการโอนย้ายเงินผิดปกติจากบัญชีเงินฝาก (ประมาณขั้นต้น 20 ถึง 40 ล้านบาท) ต้นเดือนก.พ.2550 บุตรชายได้บอกกับบิดาว่าได้ทำพินัยกรรมแล้ว ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่บุตรชายขอหย่าขาดจากภรรยา ด้วยเหตุว่าถูกทำคุณไสยอย่างต่อเนื่องโดยภรรยา โดยได้นำตะปูเกลียวและนอตห่อกระดาษทิชชูมาให้ดูที่บ้าน โดยอ้างว่าอาเจียนเอง (ต่อมาหลังเข้ารับการรักษาในร.พ.แล้วจึงยอมรับกับดิฉันและแพทย์ว่า น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต เป็นผู้อาเจียนเป็นเลือดและตะปูเกลียว และบุตรชายต้องอยู่ใกล้น.ส.เปมิกาเพราะเธอสามารถป้องกันคุณไสยให้กับบุตรได้ โดยทำตัวคล้ายเป็นผู้รับคุณไสยแทน)
สามวันถัดมาก็กล่าวว่าโดนทำคุณไสยมีดโกนอีกและโดนมาตลอดจนปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าวันที่ 9 ก.พ.2550 ที่เกิดเหตุการณ์ตะปูเกลียวนั้นเป็นวันที่หนังสือพิมพ์มีการพาดหัวข่าวว่ามีคนตายจากการถ่ายเป็นเลือดพร้อมตะปูเกลียว บ่ายวันเดียวกันนั้น น.ส.เปมิกาก็อาเจียนเป็นเลือดและตะปูเกลียวเช่นเดียวกัน ดิฉันจึงมีความเป็นห่วงบุตรชายเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างมาก จึงได้ปรึกษากันในครอบครัว โดยได้ตกลงกันว่าควรจะนำตัวมาทำการตรวจสุขภาพทางจิต ซึ่งแพทย์ก็ได้รับตัวไว้ทำการรักษาดังกล่าวไว้ข้างต้น
‘ยันลูกป่วยจริง-โดนสารกระตุ้น
วันที่ 20 ก.พ.2550 ดิฉันมีโอกาสได้พบกับกลุ่มบุคคลที่นั่งสมาธิกับบุตรชาย เนื่องจากถูกกล่าวโทษโดยกลุ่มบุคคลดังกล่าวว่านำตัวบุตรชายที่ไม่มีภาวะผิดปกติทางจิตเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยนิสิตหญิงผู้นี้ได้อ้างสิทธิ์ว่าเป็นผู้ที่ป่วยรอแต่งงานด้วย มีทรัพย์สินเกินกว่า 20 ล้านบาทที่ผู้ป่วยได้มอบให้เป็นเครื่องยืนยัน ข้อมูลนี้ได้จากร.ต.ท.ไอศูรย์ อินทร พนักงานสอบสวนสน.บางซื่อ ผู้ได้สอบถามน.ส.เปมิกาด้วยตนเอง และนำความดังกล่าวมาแจ้งแก่ดิฉันและญาติ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในบริเวณตึกผู้ป่วยได้รับทราบกันหลายท่าน จากนั้นร.ต.ท.ไอศูรย์ยังได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวให้กับพ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวนสน.บางซื่อ ผู้ที่ได้ตามมาตรวจที่โรงพยาบาล โดยรายงานกันที่บริเวณที่ตึกผู้ป่วยด้านใน จากนั้นพ.ต.ท.ฐิติเดชพร้อมพี่ชายผู้ป่วยและพยาบาลได้เปิดประตูห้องที่ผู้ป่วยนอนพักและเห็นบุตรชายนอนหลับอยู่ โดยคลุมผ้าต่วนบางๆ เนื่องจากเป็นห้องแอร์ที่มีขนาดเล็ก เปิดประตูเข้าไปก็ถึงเตียงผู้ป่วยเลย เมื่อไม่พบความผิดปกติและเห็นใบรับรองแพทย์ว่าบุตรชายป่วยจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมกลุ่มของน.ส.เปมิกาจึงได้เดินทางกลับ โดยดิฉันได้ติดตามไปชี้แจงและขอลงบันทึกประจำวันในคืนวันเดียวกันขอสงวนสิทธิ์ในการเข้าเยี่ยมผู้ป่วยให้กับดิฉันและพี่ชายของผู้ป่วยเท่านั้น ทั้งนี้ต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ด้วยว่าเข้าเยี่ยมได้หรือไม่ เนื่องจากการเข้าเยี่ยมอาจมีผลอย่างมากต่อการฟื้นตัวของบุตรชาย
ประเด็นที่ดิฉันอยากจะขอให้ความกระจ่างคือ 1. บุตรชายของดิฉันป่วยทางจิตจริง โดยมีการยืนยันจากราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ผู้ได้ส่งตัวแทนมาตรวจซ้ำที่ร.พ.ศรีธัญญา หลังจากมีข่าวเกิดขึ้น 2.สาเหตุการเจ็บป่วยทางจิตของบุตรชายสันนิษฐานได้ว่าเกิดจากการได้รับสารที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทเป็นเวลานานจนก่อให้เกิดอาการทางจิต และอาการทางร่างกาย 3.มีผู้สงสัยว่าดิฉันจับบุตรมาขังอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอเรียนให้ทราบว่า ทุกขั้นตอนถูกต้องมีการลงบันทึกประจำวัน 4. ส่วนวิธีการในการรักษา ดิฉันรับทราบหลักการจากแพทย์มาว่าต้องให้ผู้ป่วยได้รับความสงบเงียบอย่างที่สุด ต้องไม่มีการกระตุ้นทั้งทางด้านความคิดและการใช้ยา ซึ่งในที่นี้เป็นที่ทราบแล้วว่าเกิดจากสาร Ephedrlne เมื่อสารออกจากร่างกายไป ก็เหลือแต่การรักษาโรคจิตที่ยังมีอาการอยู่ ทั้งนี้จึงเป็นคำตอบที่ว่าทำไมครอบครัวไม่ต้องการให้ผู้ป่วยไปศาล เพราะเราไม่ต้องการให้ไปถูกกระตุ้นจากฝ่ายตรงข้าม การที่ศาลท่านให้ความกรุณาเดินเผชิญสืบด้วยตนเองที่ร.พ.ศรีธัญญา จึงถือว่าเป็นความกรุณาเป็นอย่างยิ่งของศาลที่เข้าใจตรงจุดนี้
วอนขอความเป็นธรรมด้วย
5. ต่อประเด็นที่ว่าแพทย์รู้จักกันกับพี่ชายผู้ป่วย ขอเรียนให้ทราบว่าเป็นความจริงเนื่องจากเรื่องนี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อน ไม่อยากให้เป็นข่าวมาตั้งแต่แรก การที่จะพาบุตรชายไปรักษากับแพทย์ผู้ใดเราควรต้องมั่นใจในแพทย์ผู้นั้นก่อน 6.มีผู้ถามมาว่าผู้ป่วยต้องนอนร.พ.หรือไม่ คำถามนี้แพทย์คนกลางที่มาตรวจจากราชวิทยาลัยจิตแพทย์น่าจะเป็นผู้ให้ความกระจ่างได้ ท่านลงความเห็นว่าหลงผิดอย่างชัดเจน ร่วมกับมีความรู้สึกอยากทำร้ายตนเอง เท่านี้ดิฉันต้องขอให้ทุกท่านช่วยไตร่ตรองเถิดว่าบุตรชายควรที่ต้องรับการรักษาในร.พ.หรือไม่ 7.มีผู้ถามมาว่ารู้สึกอย่างไรที่ศาลสั่งให้บุตรไปตรวจและรักษาที่อื่น ก็ต้องขอกล่าวว่ารู้สึกเป็นห่วงว่าจะขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะลูกชายเริ่มจะฟื้นมาบ้างแล้ว แต่ทั้งนี้ดิฉันต้องน้อมรับฟังคำสั่งศาล
จะเห็นได้ว่าบุตรชายของดิฉันและทุกคนในครอบครัวได้ตกเป็นเหยื่อจากการกระทำกันเป็นขบวนการเพื่อให้เกิดการสูญเสียชื่อเสียงและทรัพย์สิน มีความสามารถอย่างสูงในการใช้จิตวิทยาหมู่ นอกจากนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อครอบครัวของดิฉัน การชี้แจงในวันนี้จึงเกิดขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าครอบครัวของดิฉันจะได้รับความเป็นธรรมจากสังคม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำสั่งส่งน.พ.ประกิตเผ่าไปรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ขึ้น วันนี้บรรยากาศภายในสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์เป็นไปอย่างเงียบเหงาตลอดทั้งวัน โดยทางเจ้าหน้าที่ได้ปิดประตูและไม่อนุญาตให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปภายในบริเวณด้านในได้
“เปมิกา”โต้ไม่ได้สะกดจิตหมอ
น.ส.เปมิกา หรือเป วีรชัชรักษิต ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ว่า น.พ.ประกิตเผ่าเป็นคนสอนให้ตนและพวกรู้จักการนั่งสมาธิ ไม่ใช่ตนไปสอนน.พ.ประกิตเผ่า และสาขาวิชาที่เรียนก็เป็นจิตวิทยาบริหารองค์กรและจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก ไม่ใช่จิตวิทยาคลินิก และไม่ทราบถึงเรื่องอาการทางจิตหรือการรักษา เป็นไปไม่ได้ที่จะไปสะกดจิตน.พ.ประกิตเผ่า เพราะไม่ทราบเรื่องการรักษาทางจิตวิทยาเลย ส่วนเรื่องการนั่งสมาธินั้นส่วนใหญ่น.พ.ประกิตเผ่าจะนั่งสมาธิตอนเช้าที่บ้านคนเดียว และทราบเพียงว่าไปฝึกกับอาจารย์ และไม่ทราบว่าที่ไหน ส่วนตนและเพื่อนไม่เคยไปนั่งสมาธิด้วย แต่จะไปทำบุญ ทำสังฆทาน ไปวัด สร้างพระ ไปทานข้าวด้วยกันเท่านั้น โดยจะมีกลุ่มเพื่อนที่สนิทกับน.พ.ประกิตเผ่าประมาณ 6-7 คน ส่วนมากจะเป็นคนที่อายุมากกว่าตน
“ไม่เคยรู้เรื่องการย้ายเงินหรือเรื่องพินัยกรรมของคุณหมอ ส่วนเรื่องการสร้างพระ คุณหมอไม่ได้ฝากเฉพาะเปให้ดูแล แต่ฝากเพื่อนทุกคนในกลุ่ม และจะเป็นคนถามว่าจะไปทำบุญที่ไหน อยากทำอะไร แต่ทุกคนไม่เคยยุ่งเรื่องเงิน เพียงแต่ไปเที่ยว ไปกินข้าวด้วยกัน” น.ส.เปมิกากล่าวและว่า สิ่งที่ทำไปทั้งหมดเพียงเพื่อต้องการทำตามที่คุณหมอประกิตเผ่าสั่งให้ช่วย ไม่ได้คิดว่าจะกระทบกับครอบครัวของหมอ เพราะก่อนหน้าที่คุณหมอประกิตเผ่า จะเข้าโรงพยาบาล ช่วงเย็นก่อนหน้าหนึ่งวัน คุณหมอยังนัดกลุ่มเพื่อนทานข้าว แต่เมื่อถึงเวลาก็หายไป และติดต่อไม่ได้ ทำให้ทุกคนเป็นห่วงและอยู่รอด้วยกันถึงเช้า และในตอนเช้าก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณหมอให้ช่วยและทราบว่าอยู่ในร.พ.ศรีธัญญา ซึ่งเพื่อนทุกคนรับทราบพร้อมกัน และรู้สึกตกใจ เพราะก่อนหน้านั้นคุณหมอไม่เคยมีอาการผิดปกติ ทำให้ไม่มีใครเชื่อ และคำว่าโรคจิตก็เป็นคำที่รุนแรงมาก จึงไปแจ้งความให้ตำรวจช่วยเหลือ
ยันหมอเผ่าขอร้องให้ช่วยเหลือ
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดจึงเห็นเพียงแต่น.ส.เปมิกาที่ออกมาพูดเพียงคนเดียว ทำไมเพื่อนคนอื่นๆไม่ออกมาบ้าง น.ส.เปมิกากล่าวว่า ทุกคนให้ตนเป็นตัวแทน เพราะคุณหมอประกิตเผ่าเป็นคนโทร.มาหาตน จึงให้ตนเป็นคนพูด ทุกอย่างที่ทำแค่อยากทำตามคำขอของคุณหมอเท่านั้น เชื่อว่าอีกสักพักคุณหมอจะออกมาพูดเองว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ขออยู่เฉยๆ รอฟังคำตัดสินของศาล และจะมุ่งทำในสิ่งที่คุณหมอประกิตเผ่าขอร้องเท่านั้น
“เปไม่คิดว่าจะทำให้เป็นประเด็นที่บาดหมางกัน แค่คิดว่าอยากทำเพื่อคุณหมอ แต่ก็รู้ว่าอาจจะมีบ้างที่ก้าวล่วงผู้ใหญ่ เปเป็นเด็กกว่าก็อาจจะไม่สมควรทำ แต่แค่อยากช่วยคุณหมอเท่านั้น คงจะไม่มีการพูดจาทำความเข้าใจกัน เพราะเคยพูดกันที่สถานีตำรวจบางซื่อแล้ว พูดกันไม่เข้าใจ คงไม่มีการพูดคุยกันอีก” น.ส.เปมิกา กล่าว
เมื่อถามว่า จนถึงขณะนี้เชื่อหรือไม่ว่าน.พ.ประกิตเผ่าป่วยจริง น.ส.เปมิกากล่าวต่อว่า ยังไม่ได้เห็นด้วยตาหรือคุยกับคุณหมอประกิตเผ่า คงไม่สามารถตอบได้ ซึ่งอยากจะพบเพื่อรู้ด้วยตัวเอง และหากศาลตัดสินว่าคุณหมอประกิตเผ่าป่วยจริง ก็เคารพการตัดสินของศาล และถือว่าหมดหน้าที่ของพวกตน และยืนยันว่าสิ่งที่ทำเป็นเพราะหมอประกิตเผ่าเป็นคนขอร้องให้ทำจึงต้องทำเท่านั้น
เมื่อถามว่า มีหลายฝ่ายระบุว่าเป็นมือที่สามของครอบครัวน.พ.ประกิตเผ่านั้น น.ส.เปมิกากล่าวว่า ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร เพราะบอกแล้วว่าเป็นเพื่อนสนิท ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่อยากพูดอะไร ถ้าอยากพูดก็แค่จะบอกว่าขอบคุณคนที่ให้กำลังใจมากกว่า
เด็กยังแห่เรียนที่แอพพลายฯ
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่สถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ สาขาสยามสแควร์ ว่า ยังคงมีผู้ปกครองและนักเรียนทยอยเดินทางมาเรียนซึ่งได้สมัครเรียนไว้ตั้งแต่ช่วงธ.ค.2549 และมีบางส่วนเดินทางมาสมัครเรียนคอร์สที่กำลังเปิดสอนและจองคอร์สล่วงหน้า
นางปราณี เมธียนต์พิริยะ ผู้ปกครองที่พาบุตรมาดูคอร์สเรียนที่สถาบันแอพพลายด์ฟิสิกส์ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุรู้สึกเห็นใจกับน.พ.ประกิตเผ่า และไม่ได้รู้สึกทางลบต่อสถาบัน เพราะดูจากผลงานที่ผ่านมาเป็นสำคัญ และเชื่อว่าเป็นสถาบันที่ดี และสามารถดูแลการเรียนของลูกได้
น้องพลอยและเพื่อนๆ นักเรียนของสถาบัน กล่าวว่า ตนและเพื่อนเรียนที่สถาบันติดต่อกันมา 2 ปีแล้ว ไม่คิดจะย้ายไปเรียนที่อื่น เพราะเชื่อว่าที่นี่สอนได้ดี และส่วนใหญ่จะเรียนจากเทปอยู่แล้ว เท่าที่เรียนมา อาจารย์ประกิตเผ่าก็สอนดีที่สุดในอาจารย์ทั้งหมด และไม่ค่อยเชื่อว่าจะเป็นตามข่าวหลังจากเกิดข่าวก็มีการคุยกันในหมู่เพื่อนที่เรียนถึงข่าวที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่จะอยากรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้น และอาจารย์ประกิตเผ่า ขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง ต่อไปหลังจากที่วนเทปสอนไปนานๆ ใครจะมาสอนแทน แต่ยังไม่มีเพื่อนคนใดคิดจะย้ายที่เรียนไปเรียนกวดวิชาที่อื่น
น.ส.ณัฐรุจา นาคง อายุ 16 ปี นักเรียนของสถาบัน กล่าวว่า มั่นใจในสถาบันจึงไม่คิดไปเรียนที่อื่น ส่วนเพื่อนๆ ก็ยังไม่มีใครย้ายที่เรียนเช่นกัน และเท่าที่เคยเรียนผ่านมาอาจารย์ประกิตเผ่าก็เป็นครูที่สอนดี สอนสนุก
น้องตั้ม กล่าวว่า เพิ่งมาสมัครเรียนที่สถาบัน ไม่กังวลเรื่องของข่าวที่เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่าสถาบันมีอาจารย์ที่สอนได้ และยังมีเทปการสอนของอ.ประกิตเผ่าที่จะนำมาสอนอยู่ และไม่คิดจะย้ายไปเรียนที่อื่น
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์