ตร.ร้องศาลเบิกตัวผอ.ศรีธัญญาและ”น.พ.ประกิตเผ่า”เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตและถูกส่งไปรักษามาขึ้นศาล ไต่สวนว่ามีอาการประสาทจริงหรือไม่ หลังสอบพยานหลายปากยันเหมือนคนปกติ แต่จู่ๆ แม่กับพี่ชายก็จับส่งศรีธัญญาแถมให้ตร.มาคุ้มกันด้วย ศาลมีคำสั่งให้ผอ.ร.พ.และน.พ.ประกิตเผ่า มาพบเพื่อไต่สวนวันที่ 2 มี.ค.นี้ “พ.ต.ท.”เจ้าของคดี ยันเพื่อนสาวของหมอเข้าร้อง หลังหมอถูกจับส่งร.พ. แล้วแอบโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ ยันสอบเพื่อนและน.ร.พบไม่มีอาการโรคจิต พอไปขอพบที่ร.พ.ก็ถูกกีดกันไม่ให้เจอตัวจึงต้องมาร้องขออำนาจศาล แฉอาจจะโยงถึงสถาบันกวดวิชาที่มีรายได้ปีละนับร้อยล้านบาทที่หมอเป็นคนดูแลอยู่ ด้านผอ.ศรีธัญญา และญาติผู้ป่วยแถลงยันมีอาการทางประสาทจริง หวาดระแวงต้องใส่เสื้อเกราะ-พกปืนหลายกระบอก ชี้หากดูเผินๆ เหมือนคนปกติแต่หากเกิดความเครียดอาการจะกำเริบ โวยกล่าวหาฉีดยาหรือให้กินยาจะได้บ้ามีแต่ในละครเท่านั้น พร้อมร้องเรียนตร.ที่มาขอพบผู้ป่วยข้อหาบุกรุก ขณะที่ทนายครอบครัวขู่ฟ้องปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ส่วนพี่ชายอ้างมีอาการหลังพบเพื่อนสาวแล้วพากันไปนั่งสมาธิจนสติแตก แถมใช้จ่ายเกินตัวพบเงินในบัญชีธนาคารหายไปถึง 40 ล้านบาท
จากกรณีน.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ถูกมารดาและพี่ชาย ส่งตัวเข้ารักษาอาการทางจิตที่ร.พ.ศรีธัญญา เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ก่อนที่น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต อายุ 24 ปี เพื่อนสาวจะเข้าแจ้งความกับพ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวนสบ.3 สน.บางซื่อ ว่าได้รับโทรศัพท์จากน.พ.ประกิตเผ่า ว่าถูกจับตัวเอาไว้ในห้องผู้ป่วยร.พ.ศรีธัญญา โดยมีตำรวจคุมตัวเอาไว้ ไม่ยอมให้ออกไปไหน จนต้องขอร้องเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจนสามารถโทรศัพท์ติดต่อขอความช่วยเหลือจากน.ส.เปรมมิกา พ.ต.ท.ฐิติเดช จึงเดินทางไปตรวจสอบที่โรงพยาบาล แพทย์แจ้งว่าน.พ.ประกิตเผ่า มีอาการทางประสาทแต่ไม่อนุญาตให้เข้าพบอ้างว่าญาติสั่งห้ามเอาไว้ ตำรวจจึงสอบปากคำพยานหลายปากพบว่าน.พ.ประกิตเผ่า ดูเหมือนคนปกติ สงสัยว่าจะมีเงื่อนงำบางอย่าง โดยอาจจะเกี่ยวข้องกับสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ซึ่งเป็นสถาบันกวดวิชาชื่อดังที่มีรายได้นับร้อยล้านบาท นั้น
-ศาลไต่สวนคดีประกิตเผ่า
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 27 ก.พ. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวนสบ.3 สน.บางซื่อ ได้ยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 เพื่อพิจารณาการควบคุมหรือขังโดยผิดกฎหมาย กรณีที่น.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ถูกมารดาและพี่ชาย ส่งตัวเข้ารักษาอาการทางจิตที่ร.พ.ศรีธัญญาโดยไม่ชอบ จึงขอให้ศาลออกหมายเรียกน.พ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผอ.ร.พ.ศรีธัญญา และน.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้ป่วยมาไต่สวนเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวจากโรงพยาบาล
โดยศาลพิจารณาคำร้องแล้ว มีคำสั่งให้ออกหมายเรียกผอ.ร.พ.ศรีธัญญา และน.พ.ประกิตเผ่า ผู้ป่วยมาไต่สวนในวันที่ 2 มี.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
-พยานรุมยันไม่มีอาการป่วย
พ.ต.ท.ฐิติเดช พนักงานสอบสวน กล่าวว่าตามคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวน.พ.ประกิตเผ่า เนื่องจากมีหลักฐานอันควรเชื่อว่า น.พ.ประกิตเผ่า ถูกควบคุมตัวหรือรักษาอาการป่วยทางจิตโดยไม่ชอบ ตามป.วิอาญามาตรา 90 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานของน.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต อายุ 24 ปี เพื่อนสาวของ น.พ.ประกิตเผ่า ซึ่งมีนายอำเภอพุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อนน.พ.ประกิตเผ่า ยืนยันว่า เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้พบและพูดคุยกับน.พ.ประกิตเผ่า โดยไม่มีอาการใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าป่วยทางจิต
พ.ต.ท.ฐิติเดช กล่าวอีกว่า ประกอบเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลผู้ป่วยของร.พ.ศรีธัญญา ซึ่งให้น.พ.ประกิตเผ่า ยืมโทรศัพท์ติดต่อน.ส.เปมิกา ก็ได้ให้ปากคำว่า น.พ.ประกิตเผ่า ยังพูดคุยรู้เรื่อง และไม่แสดงอาการป่วยทางจิตเช่นเดียวกัน ซึ่งข้อความที่พูดคุยระหว่างน.พ.ประกิตเผ่า และน.ส.เปมิกา ระบุว่าให้เข้ามาช่วยเหลือออกจากโรงพยาบาลภายในสัปดาห์นี้ หากไม่ทำก็ไม่ต้องดำเนินการแล้ว ทั้งนี้นอกเหนือจากพยานดังกล่าวแล้ว ยังมีกลุ่มนักเรียนในสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ อีกจำนวนหลายปาก ที่พร้อมจะให้การยืนยันว่าน.พ.ประกิตเผ่า ไม่มีอาการทางจิตแต่ประการใด
-แฉมีตร.คุมตัวในศรีธัญญา
พ.ต.ท.ฐิติเดช ยังกล่าวด้วยว่าที่มารดาและพี่ชายของน.พ.ประกิตเผ่า ซึ่งเป็นผู้นำตัวส่งเข้าโรงพยาบาล ระบุว่าจะฟ้องดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนนั้น ตนไม่กังวลเพราะถือว่าเป็นสิทธิตามกฎหมาย ซึ่งเมื่อมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามหน้าที่ โดยการยื่นคำร้องครั้งนี้เป็นไปตามกฎหมายที่จะให้พิจารณาปล่อยตัวเท่านั้น แต่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินคดีเพื่อเอาผิดกับผอ.ร.พ.ศรีธัญญา ทั้งนี้ หากน.ส.เปมิกา จะร้องทุกข์กล่าวโทษต่อผอ.ร.พ.ศรีธัญญา ก็ต้องแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.อ.เมืองนนทบุรี
“มีการมองกันหลายฝ่ายว่าผมรับเงินให้มาดำเนินการ จนถูกผู้บังคับบัญชาเตรียมตั้งคณะกรรมการสอบสวน อย่างไรก็ตามพร้อมจะชี้แจง เพราะผมมีหลักฐานยืนยันว่า น.พ.ประกิตเผ่านั้นยืมโทรศัพท์พนักงานที่ร.พ.ศรีธัญญา โทร.อออกมาหรือได้โทรศัพท์ติดต่อไปมีหลักฐานพร้อม ซึ่งหลายประเด็นที่ตรวจสอบมีข้อขัดแย้งหลายอย่าง การที่เอานายตำรวจระดับสารวัตรของนครบาลไปคุมตัวดูแลในร.พ.ศรีธัญญา เรื่องนี้ผมพร้อมจะดำเนินการต่อไปเพื่อให้เกิดเรื่องราวกระจ่าง หากน.พ.ประกิตเผ่า ป่วยอาการทางจิตจริงก็พร้อมจะหยุด เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัว” พ.ต.ท.ฐิติเดช กล่าว
-โยงร.ร.กวดวิชาร้อยล้าน
รายงานข่าวแจ้งว่ามีการตั้งข้อสังเกตถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า อาจจะมาจากปัญหาขัดแย้งเรื่องบริหารสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ซึ่งน.พ.ประกิตเผ่า ลาออกมาดูแลต่อจากบิดา ซึ่งช่วงนั้นมีปัญหาจนขาดทุนนับสิบล้านบาท จนเมื่อน.พ.ประกิตเผ่า เข้ามาปรับรูปแบบการบริหารจนกลายเป็นสถาบันกวดวิชาชื่อดังที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย มีสาขามากถึง 16 แห่งทั่วประเทศ ทำรายได้ปีละนับร้อยล้านบาท แต่เงินส่วนใหญ่เข้าสู่กองกลางหรือกงสี ซึ่งพ่อ-แม่จะมีสิทธิ์ขาดในการแบ่งเงินให้ลูกคนอื่นๆ ด้วย โดยน.พ.ประกิตเผ่า จะได้เพียงเงินเดือนและเปอร์เซ็นต์เท่านั้น จนเมื่อปลายปี 2549 น.พ.ประกิตเผ่า ต่อรองจนได้รับโอนสิทธิ์ทั้งหมดแต่จะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งให้กับพ่อ-แม่ ตกปีละประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนรายได้ที่เหลือทั้งหมดจะเป็นของน.พ.ประกิตเผ่า คนเดียว เพราะถือว่าเป็นผู้บริหารคนสำคัญ และหลังจากนั้นไม่นานน.พ.ประกิตเผ่า ก็ถูกระบุว่ามีอาการทางประสาทก่อนนำส่งร.พ.ศรีธัญญาดังกล่าว
ช่วยลูก- รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ มารดา นางอลิสา ภรรยา และนางประภัสสร พี่สะใภ้หมอประกิตเผ่า เปิดแถลงภายหลังเข้าพบผอ.ร.พ.ศรีธัญญา ยืนยันหมอประกิตเผ่าป่วยทางจิตจริง จึงต้องพามารักษา ตามข่าว
-ผอ.ศรีธัญญาแถลงวุ่น
ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา คณะแพทย์ร.พ.ศรีธัญญา และกรมสุขภาพจิต นำโดย น.พ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผอ.โรงพยาบาลศรีธัญญา พร้อมคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และรศ.น.พ.ประกิตพันธ์ ทมทิตชงค์ พี่ชายน.พ.ประกิตเผ่า ร่วมแถลงข่าวกรณีน.พ.ประกิตเผ่า เข้ารักษาตัวในร.พ.ศรีธัญญา เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา ร้องเรียนว่าไม่ได้มีอาการทางจิตแต่ถูกกักตัวไว้
น.พ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า โรงพยาบาลรับตัวน.พ.ประกิตเผ่า เข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยรศ.เพลินจิต และน.พ.ประกิตพันธ์ ทมทิตชงค์ มารดาและพี่ชายผู้ป่วยนำตัวมาให้รับการรักษา โดยเล่าประวัติว่าเริ่มมีการอาการตั้งแต่เดือนต.ค.2549 ผู้ป่วยมีอาการซึม หวาดระแวงคิดว่าตัวเองมีอิทธิฤทธิ์ พกพาอาวุธปืน 3 กระบอกติดตัว และสะสมอาวุธปืนมากถึง 50 กระบอกที่บ้าน สวมเสื้อเกราะ ซึ่งญาติเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย จึงขอส่งตัวให้เข้ารับการรักษาผ่าน สภ.อ.พุทธมณฑล และลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน โดยน.พ.ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ รับเป็นเจ้าของไข้
-ใส่เกราะพกปืนมาหาหมอ
น.พ.เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า แพทย์รายงานผลการตรวจในเบื้องต้นวันที่รับผู้ป่วยว่า ผู้ป่วยมีอาการหวาดระแวงและมีความคิดหลงผิด ซึ่งเป็นลักษณะของการเจ็บป่วยทางจิต ชนิดหวาดระแวง อาจเกิดอันตรายได้ จึงรับเข้าทำการรักษาและมีการตรวจเพิ่มเติมโดยการเจาะเลือดและทดสอบทางจิต ซึ่งโรงพยาบาลมีกระบวนการตรวจสอบคัดกรองอย่างมีมาตรฐาน โดยจะมีการตรวจสอบทั้งอารมณ์ ความคิด คำพูด ซึ่งบางคนอาจดูเหมือนปกติ แต่เมื่อมีการพูดถึงเรื่องที่ทำให้หวาดระแวงจะมีอาการอย่างเห็นชัด ทำให้พบว่า มีฐานสนับสนุนการเจ็บป่วยทางจิต มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม ทำให้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด
“วันที่รับตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาลักษณะโดยทั่วไปของผู้ป่วยพบว่า น.พ.ประกิตเผ่า สวมเสื้อเกราะและพกปืน 3 กระบอก แต่ไม่มีการอาละวาดแต่อย่างใด เบื้องต้นพบสารออกฤทธิ์กระตุ้นทางจิตประสาทจากการตรวจปัสสาวะพบ “เอพฟรีดีน” มีค่ามากกว่าคนปกติถึง 200 เท่า ซึ่งออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท โดยมีลักษณะคล้ายกับแอมเฟตามีน หรือยาบ้า แต่ไม่พบว่ามีสารเสพติดแต่อย่างใด ขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์สาเหตุการรับสารดังกล่าว อาการดังกล่าวสามารถหายได้ ซึ่งการรักษาในระยะเวลา 1 เดือน คนไข้จะหายได้ 70-80% หากไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น” น.พ.เกียรติภูมิ กล่าว
-ชี้ป่วยจริงแต่ดูเหมือนปกติ
น.พ.เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าการตรวจรักษาของแพทย์เป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งมีการวินิจฉัยอย่างรอบคอบ ทั้งใช้แบบทดสอบ การพูดคุยกว่าจะมีการสรุป ซึ่งการที่น.พ.ประกิตเผ่า พูดจารู้เรื่องนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนที่มีอาการทางจิต ไม่ใช่คนพูดไม่รู้เรื่อง เราสามารถพูดคุยได้ตามปกติ แต่เมื่อมีการคุยถึงเรื่องที่กระตุ้น หรือสะเทือนใจอาการบกพร่องอยู่ก็จะหลุดจากโลกความเป็นจริงทันที ที่เห็นว่าเป็นปกติจึงไม่ใช่เรื่องปกติ ซึ่งจะสังเกตได้จากอาการหลงผิด อาการหวาดระแวง
-ยันฉีดยาให้บ้าแค่ละคร
“ทั้งนี้หากมีหมายศาลในการขอตัวผู้ป่วยและคณะแพทย์ไปให้ปากคำเพิ่มเติมนั้นก็ย่อมเป็นอำนาจของศาล แต่ขณะนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยด้วยเช่นกันว่าอยู่ในสภาวะที่สามารถให้ข้อมูลได้หรือไม่ ถ้าเปรียบก็เหมือนกับว่าคนไข้อยู่ในอาการไอซียูที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และขอยืนยันว่าเคยมีการฉีดยาผู้ป่วยเฉพาะในการรักษาเท่านั้น แต่ถึงขณะนี้ไม่ได้ฉีดยานั้นแล้ว ไม่เหมือนกับตามที่เป็นข่าว และการกระทำเช่นนั้นมีแต่ในละคร ทางการแพทย์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ร.พ.ศรีธัญญาเป็นโรงพยาบาลตั้งมา 65 ปีแล้วไม่สามารถทำเสื่อมเสียเช่นนั้นได้ “น.พ.เกียรติภูมิ กล่าว
ผอ.ร.พ.ศรีธัญญา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้อาการของผู้ป่วยที่มีอาการหวาดระแวงสามารถสังเกตได้จากอาการนำคือ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ หวาดระแวงผู้คน อยู่บ้านเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว คอยเช็กประตู หน้าต่างกลัวใครมาทำร้าย ทั้งนี้หากบุคคลนั้นมีความฉลาดก็อาจปิดบังอาการด้วยเหมือนกัน เนื่องจากความฉลาดของบุคคลนั้นอาจทำให้อาการที่แสดงออกแนบเนียนกว่าคนปกติ
-พี่ชายโบ้ย”เปมิกา”ต้นเหตุ
ด้านน.พ.ประกิตพันธ์ กล่าวอีกว่า ไม่ทราบว่าข่าวเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่การที่นำตัวน.พ.ประกิตเผ่า มารักษาสาเหตุพบว่า หลังจากที่น้องชายเริ่มสนิทกับน.ส.เปมิกา เมื่อช่วงเดือนต.ค.ที่ผ่านมา เริ่มแรกก็ยังไม่พบอาการผิดปกติ แต่มีการชวนกันไปนั่งสมาธิ ซึ่งทางบ้านคิดว่าไม่มีอะไร เพราะปกติน.พ.ประกิตเผ่า ชอบทำบุญ ไปวัด นั่งสมาธิอยู่แล้ว แต่ตอนหลังเริ่มพบความผิดปกติ เพราะน้องชายหายไปโดยไม่ทราบว่าไปไหน เวลากลับมาบ้านก็มีอาการหวาดระแวง ตื่นกลัว และตรวจพบว่ามีการใช้จ่ายที่ผิดปกติ มีเงินหายไปจากบัญชีประมาณ 20-40 ล้านบาท
“ขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องราวมากนักเพราะทางบ้านเพิ่งทราบว่าน้องชาย มีอาการผิดปกติทางจิต ไม่สามารถตอบได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการที่มีกลุ่มคนชวนไปนั่งสมาธิ หรืออาจเกิดจากการกลั่นแกล้งทางธุรกิจ ส่วนสารที่ตรวจพบนั้นไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร ที่ผ่านมาน้องชาย ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแต่อย่างใด โดยจะขอหารือทนายก่อนที่จะดำเนินการต่อ แต่ยืนยันว่า เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะครอบครัวเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของน้องชายมากที่สุด จะต้องทำการรักษาให้ถึงที่สุด” น.พ.ประกิตพันธ์ พี่ชายกล่าว
-อ้างนั่งสมาธิจนสติแตก
น.พ.ประกิตพันธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับประวัติของน.ส.เปมิกา นั้น ทางบ้านทราบเพียงว่าเคยเข้าเรียนในโรงเรียนกวดวิชา และหายไปพักใหญ่ก่อนกลับมาสนิทกับน.พ.ประกิตเผ่า และทราบเพียงว่ามาปรึกษาเรื่องครอบครัวจึงไม่ได้สนใจอะไร แต่มาช่วงหลังมีการชวนไปทำบุญ นั่งสมาธิ และทราบเพียงว่า น.ส.เปมิกา มาแสดงตนว่าเป็นคนมีฌานสมาธิ แต่ไม่ทราบว่าไปที่ไหน อย่างไร จนน.พ.ประกิตเผ่า เริ่มมีอาการผิดปกติ จึงมีการปรึกษากันและตัดสินใจให้เข้ารับการรักษาตัว เพราะเกรงจะทำร้ายตัวเอง และยืนยันว่าภรรยาของน.พ.ประกิตเผ่า ยังอยู่ปกติดีไม่ได้เสียชีวิตตามข่าว
-เผยรายงานผอ.ศรีธัญญา
ด้านน.พ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากน.พ.เกียรติภูมิ ผอ.ร.พ.ศรีธัญญา ตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ. ที่ผ่านมา ว่ามีผู้บุกรุกตึกผู้ป่วยโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยระบุว่าเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา มีบุคคลแต่งกายด้วยเครื่องแบบตำรวจ 2 ราย คือ ร.ต.ท.ไอศูรย์ อินทร พร้อมพวกอีก 1 ราย แจ้งขอเข้าเยี่ยมผู้ป่วย คือน.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ซึ่งพักรักษาตัวอยู่ที่ตึกประสาทวิทยา โรงพยาบาลศรีธัญญา แต่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไม่ให้เข้าพบ โดยแจ้งกับบุคคลดังกล่าวว่าญาติได้ของดการเยี่ยมหรือพบกับบุคคลอื่น นอกจากมารดาและพี่ชาย เท่านั้น
“บุคคลดังกล่าวเมื่อไม่สามารถเข้าพบได้ มีการแสดงกิริยามารยาทพร้อมคำพูดที่ไม่เหมาะสม โดยใช้เครื่องแบบที่แต่งกายมาข่มขู่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล โดยร.ต.ท.ไอศูรย์ อินทร ได้เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยชั้น 1 และ ชั้น 2 พร้อมกับทำการค้นหา ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะห้ามได้ โดยในขณะที่กำลังทำการค้นหาอยู่นั้น ได้มีญาติผู้ป่วยรายหนึ่ง ซึ่งเป็นนายทหารหญิงยศพลตรี พูดขึ้นมาว่า คุณทำแบบนี้ถือเป็นการบุกรุกโรงพยาบาล ทำให้นายตำรวจคนดังกล่าวถอยกลับออกไปจากตึกผู้ป่วย” น.พ.ม.ล.สมชาย กล่าว
-อัดตร.บุกรุก-ขอพบผู้ป่วย
น.พ.ม.ล.สมชาย กล่าวต่อว่า หลังจากนั้น นายตำรวจทั้ง 2 นาย ได้ขอเข้าพบกับผอ.ร.พ.ศรีธัญญา แต่ในช่วงดังกล่าวผอ.ร.พ.ติดราชการ จึงได้เข้าพบน.พ.ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ รองผอ.ฝ่ายการแพทย์ และแพทย์เจ้าของไข้ โดยได้ข่มขู่หน่วงเหนี่ยวรองผอ.ร.พ. และยืนยันที่จะพบผอ.ร.พ.ให้ได้
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวอีกว่า รายงานของน.พ.เกียรติภูมิ ระบุด้วยว่า เมื่อผอ.ร.พ.เสร็จภารกิจจากการปฏิบัติราชการ ตำรวจทั้ง 2 นายได้เข้าพบ และแจ้งว่ามีผู้ไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ว่า มีบุคคลถูกกักขัง คือ น.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ อยู่ที่ร.พ.ศรีธัญญา จึงมาขอสอบปากคำแพทย์เจ้าของไข้คือ น.พ.ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ แต่แพทย์ไม่ให้ความร่วมมือ จึงขอพบผู้ป่วย ซึ่งทางผอ.ชี้แจงว่า มารดาโดยสายเลือดและพี่ชายของผู้ป่วย ขอให้โรงพยาบาลห้ามบุคคลอื่นเยี่ยมและเข้าพบผู้ป่วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงความไม่พอใจและพูดจาข่มขู่ว่า “เรื่องจะต้องถึงศาลจึงจะพบได้ใช่ไหม” ผอ.จึงแจ้งว่า ผู้นำส่งผู้ป่วยเข้าร.พ.คือมารดาและพี่ชายได้แจ้งความประสงค์ไว้เช่นนั้น แต่บุคคลที่ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เป็นบุคคลภายนอกและไม่ใช่ญาติของผู้ป่วย ถ้าจะเข้าพบต้องมีเอกสารหนังสือหรือหมายศาลมายืนยันจึงจะสามารถพบได้
-ฟ้องตร.แห่งชาติเล่นงาน
“ก่อนหน้านี้ รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ มารดาของน.พ.ประกิตเผ่า ได้มีหนังสือถึงร.พ.ศรีธัญญา แจ้งความประสงค์ขอความเป็นธรรมและคุ้มครองบุตรชาย เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เนื่องจากเกรงว่าจะถูกข่มขู่และไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งหลังจากรับรายงานจากผอ.ร.พ.ศรีธัญญา แล้วทางกรมสุขภาพจิต ได้ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานถึงการบุกรุกและคุกคามสิทธิผู้ป่วยของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว” น.พ.ม.ล.สมชาย กล่าว
-ส่งหมายศาลถึงศรีธัญญา
ต่อมาเวลา 13.30 น. พ.ต.ท.ฐิติเดช พร้อมด้วยน.ส.เปมิกาเดินทางเข้าพบน.พ.เกียรติภูมิ ผอ.ร.พ.ศรีธัญญา เพื่อส่งหมายเรียกของศาลอาญานัดให้น.พ.เกียรติภูมิไปให้ปากคำ และนัดไต่สวนกรณีน.พ.ประกิตเผ่า ในวันที่ 2 มี.ค. เวลา 09.00 น.
พ.ต.ท.ฐิติเดช กล่าวถึงกรณีที่น.ส.เปมิกา อ้างว่า เป็นแฟนสาวและเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ผู้ที่พบเห็นหรือทราบว่า มีการกระทำผิดสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ซึ่งตนก็ไม่ได้เชื่อผู้ร้องทุกข์แต่แรก เพราะถ้าเชื่อก็คงยื่นคำร้องต่อศาลตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. ไปแล้ว แต่นี่มีการหาพยานหลักฐานมาประกอบคำร้องทุกข์ จนชัดเจนว่ามีเหตุน่าสงสัยและกระทำความผิดจริง และคุมขังโดยมิชอบ โดยได้สอบปากคำพยาน 5 ปาก ที่เพิ่งพบเห็นน.พ.ประกิตเผ่า และยืนยันว่าน.พ.ประกิตเผ่า ไม่ได้มีอาการป่วย ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอพุทธมณฑล ลูกศิษย์ของน.พ.ประกิตเผ่า และพระภิกษุที่วัดบางพระ จ.นครปฐม
-ยันหมอกีดกันไม่ให้พบผู้ป่วย
“นอกจากนี้ได้แสดงความจำนง เพื่อขอเข้าเยี่ยมเพื่อดูอาการของ น.พ.ประกิตเผ่า แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตจากร.พ. ที่สำคัญคือการวินิจฉัยของแพทย์ที่เข้ารับการตรวจในวันที่ 19 ก.พ. พอวันที่ 20 ก.พ. ก็ลงความเห็นว่าป่วย ส่วนสาเหตุที่มีการร้องทุกข์ในพื้นที่ สน.บางซื่อ ก็เพราะบ้านของผู้ร้องอยู่ในเขต และยืนยันว่าทำทุกอย่างตามหน้าที่และไม่มีอะไรแอบแฝงอย่างเด็ดขาด”
-”ประกิตเผ่า”อาจไม่ได้ขึ้นศาล
น.พ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผอ.โรงพยาบาลศรีธัญญา กล่าวภายหลังได้รับหนังสือเรียกตัวให้ไปให้ปากคำกับศาลว่า ยินดีที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะศาลถือว่ามีอำนาจสูงสุด ส่วนน.พ.ประกิตเผ่า นั้น เป็นหน้าที่ของแพทย์เจ้าของไข้ คือ น.พ.ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ จะเป็นผู้พิจารณาว่า สามารถไปร่วมให้ปากคำได้หรือไม่ เพราะหากผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย
-2ฝ่ายเผชิญหน้า-ปะทะคารม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่พนักงานสอบสวนเข้าพบผอ.ร.พ.ศรีธัญญา อยู่นั้น รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ และนางอลิสา ทมทิตชงค์ มารดาและภรรยา ของน.พ.ประกิตเผ่า พร้อมด้วยนายชูชาติ ศิลปะรัตน์ ทนายความเดินทางมาถึง เพื่อเข้าพบน.พ.เกียรติภูมิ เช่นกัน เมื่อเผชิญหน้ากับพ.ต.ท.ฐิติเดช และน.ส.เปมิกา ก็เกิดบรรยากาศอึมครึม และมีการปะทะคารมเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และมีการกล่าวหากันไปมา และมีเสียงจากฝ่ายญาติน.พ.ประกิตเผ่า ในทำนองว่าเตรียมตัวถูกฟ้องได้เลย
จากนั้นนายชูชาติ เชิญ พ.ต.ท.ฐิติเดช เข้าไปพูดคุยตามลำพังในห้องน.พ.เกียรติภูมิ เพียงครู่เดียวก็กลับออกมา และต่างฝ่ายก็แยกย้ายกันไป โดยที่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรง
-แม่ยันไม่คิดทำร้ายลูกชาย
ต่อมารศ.เพลินจิต นางอลิสา และนายชูชาติ เปิดแถลงข่าวที่ห้องประชุมของ ร.พ.ศรีธัญญา โดยรศ.เพลินจิต กล่าวว่า ครอบครัวมีการหารือถึงอาการของน.พ.ประกิตเผ่า ก่อนที่จะนำตัวมารักษาแล้ว ซึ่งเห็นตรงกันว่าอาการไม่ดี จึงได้ขอความร่วมมือกับสภ.อ.พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ให้อำนวยความสะดวกในการนำตัวมาส่งโรงพยาบาล ไม่คิดว่าจะถูกนำมาเป็นประเด็น เพียงแต่ต้องการนำตัวมาส่งให้แพทย์รักษาเท่านั้น
“ยืนยันว่า ไม่มีพ่อแม่คนใดไม่รักลูก และการที่จะนำลูกมาไว้ในสถานที่เฉพาะทาง หากมีความเสี่ยงก็จะไม่พามา แค่อยากให้ลูกหายเป็นปกติเท่านั้น ซึ่งที่นี่ก็มีการวินิจฉัยทางคลินิกอย่างถูกต้องและมีใบรับรองแพทย์ ไม่ได้ทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องห่วงในเรื่องความปลอดภัยของลูกเป็นสำคัญ” รศ.เพลินจิต กล่าว
-ทนายยันคำร้องตร.ไม่ชอบ
นางอลิสา ภรรยา กล่าวว่า ยืนยันว่าสามีมีอาการป่วยจริง โดยมีอาการหวาดระแวง กลัวว่าจะมีคนมาปองร้าย แต่ไม่เคยทำร้ายร่างกายตนแต่อย่างใด สิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ที่อุปการะสามีนั้นเป็นเรื่องที่ชอบธรรม และตนเป็นภรรยาตามกฎหมาย ส่วนรายละเอียดอื่นนั้นขอให้การในชั้นศาล
ด้านนายชูชาติ กล่าวว่า ได้พิจารณาคำร้องในการขออำนาจศาลเพื่อไต่สวนพิเศษแล้วเห็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีสิทธิ์เป็นผู้ยื่นฟ้องต่อศาล โดยได้มีการยื่นคัดค้านการไต่สวนฉุกเฉินไว้แล้ว และศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 2 มีนาคม เวลา 09.00 น. เช่นกัน ทั้งนี้ จะยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ฐิติเดช ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย เพราะคำร้องนั้นเป็นเท็จทั้งสิ้น
-”เปมิกา”เปิดใจถึงหมอ
เวลา 18.30 น. ที่สน.บางซื่อ น.ส.เปมิกา หรือเป เพื่อนสนิทของน.พ.ประกิตเผ่า ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีเกิดขึ้นว่า ตนกับคุณหมอและเพื่อนกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-5 คน สนิทสนมกันมากยอมรับว่าสนิทและใกล้ชิดกับหมอกว่าเพื่อนคนอื่นๆ เริ่มมาจากเป็นลูกศิษย์ที่เคยเรียนอยู่ที่สถาบันกวดวิชา หลังจากนั้นก็มีความสนิทสนมกับคุณหมอเรื่อยมา คุยกับคุณหมอได้ทุกเรื่อง เวลาหมอมีเรื่องไม่สบายใจอะไรก็มาเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำงาน หรือแม้แต่เรื่องทางบ้านและครอบครัวจะมาเล่าให้ฟังทุกเรื่อง
“โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คุณหมอมาบ่นกับตนว่าไม่สบายใจเรื่องทางบ้าน และเมื่ออยู่บ้านก็ไม่สบายใจ กำลังจะขอหย่ากับภรรยา ซึ่งเมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา คุณหมอโทรศัพท์นัดกับนายอำเภอพุทธมณฑล ว่ากำลังจะไปหย่ากับภรรยา ทางนายอำเภอได้รอจนถึง 16.30 น. ก็ยังไม่มาที่อำเภอทางคุณหมอจึงได้ยกเลิกก่อนเพราะไม่สามารถติดต่อภรรยาได้”น.ส.เปมิกา กล่าว
-แฉหลอกเมียตาย-จับตัวไป
น.ส.เปมิกา กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นคุณหมอพยายามติดต่อกับทางภรรยามาตลอด จนกระทั่งทราบว่าภรรยาไปปฏิบัติธรรมที่วัดสังฆทาน คุณหมอตามไปก็ไม่พบ จนกระทั่งมาวันที่ 20 ก.พ. เวลา 06.00 น. และเวลา 07.30 น. ตนได้รับโทรศัพท์จากทางหมอว่าได้ถูกกักตัวไว้ที่ตึกประสาทวิทยา ร.พ.ศรีธัญญา โดยคุณหมอเล่าให้ฟังว่า มีตำรวจกองปราบฯ 4 นาย มาหาคุณหมอและพี่ชายของคุณหมอ และได้บอกว่าภรรยาของคุณหมอเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณหมอถูกสงสัยว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง กับการเสียชีวิตของภรรยา จึงขอให้ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย โดยจะต้องไปอยู่ที่ร.พ.ศรีธัญญา เพื่อที่พี่ชายจะได้ช่วยวิ่งเต้นช่วยเหลือหมอได้ คุณหมอจึงตามไปที่ร.พ. เพราะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าไม่ได้เป็นโรคประสาท และด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้เป็นคนทำ
เพื่อนสาวคนสนิทกล่าวอีกว่า พอรับฟังแล้วจึงได้สอบถามคุณหมอไปว่า แล้วภรรยาเสียชีวิตจริงหรือไม่ คุณหมอก็บอกว่ายังไม่ทันได้ตรวจสอบเพราะเขาบอกว่า ให้ตามมาก่อนเดียวจะพาไปดูศพ พอช่วงประมาณ 07.30 น. ตนก็เช็กข่าวว่ามีการเสียชีวิตของภรรยาคุณหมอหรือไม่ แต่ปรากฏว่าภรรยาของคุณหมอไม่ได้เสียชีวิต ตนจึงโทรศัพท์กลับไปหาทางเบอร์ที่คุณหมอโทร.มา คุณหมอบอกว่ายังนั้นต้องมีเงื่อนงำไม่ดีอย่างแน่นอน คุณหมอแนะนำให้ตนไปแจ้งความ เพื่อช่วยนำออกไปด้วยเพราะไม่อยากอยู่ตรงนี้ ขอให้คุณหมอได้มีโอกาสได้ออกมาพูดบ้าง
-ศรีธัญญาไม่ยอมให้พบ
น.ส.เปมิกา กล่าวต่อว่า คุณหมอบอกว่าไม่สามารถออกไปได้เนื่องจากมีคนเฝ้าอยู่หลายคน จึงติดต่อทนายให้ไปดูที่ร.พ.ว่าเป็นอยู่อย่างไร ทนายได้คุยกับตำรวจที่เฝ้าอยู่หน้าห้องและบอกว่า ไม่สามารถให้เข้าไปเยี่ยมผู้ต้องหาได้ เมื่อทนายบอกดังนั้นจึงได้มาที่สถานีตำรวจ เพื่อให้ตำรวจช่วย หลังจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบดูแล้วว่า เรื่องดังกล่าวมีมูลเหตุจึงได้เริ่มรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ และไปยื่นร้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรี แต่ศาลบอกว่าให้ไปสอบปากคำแพทย์ที่รักษามาประกอบเพื่อที่จะออกหมายศาลให้ได้ จึงเดินทางไปที่ร.พ.แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือจากทางร.พ.เลย
หลังจากนั้นพ.ต.ท.ฐิติเดช ได้รับโทรศัพท์จากทางผู้ใหญ่ให้หยุดทำคดีนี้ จึงได้เดินทางกลับกัน ตนจึงได้ไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอพบรักษาการผบ.ตร. แต่ทางหน้าห้องได้รับเรื่องและโทร.ไปเช็กกับทางครอบครัวคุณหมอ และตำรวจนายนั้นก็ไล่ตนกลับทันที
-วอนปล่อยหมอออกมาพูดเอง
น.ส.เปมิกา กล่าวต่อว่า จึงตัดสินใจไปที่ศาลอาญา ศาลได้รับเรื่องนี้ไปและมีคำสั่งให้ไต่สวนเรื่องนี้ ในวันที่ 2 มี.ค. สำหรับที่ทางญาติๆ ของคุณหมอบอกว่า คุณหมอมีอาการป่วยจริง ตนเห็นว่าก็น่าที่จะให้คุณหมอได้ออกมาพูดในเรื่องนี้ ว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร เพราะตนและเพื่อนๆในกลุ่มคิดว่าคุณหมอไม่ได้เป็นอย่างนั้น ที่มาบอกว่าเมื่อคุณหมอเครียดและออกมาทำร้ายร่างกายนั้น ตนและเพื่อนๆไม่เห็นด้วยว่าเป็นอย่างนั้น การที่มาบอกว่าคุณหมอห้อยพระเก้าองค์แล้วบ้าตนว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะคุณหมอเลื่อมใสพุทธศาสนามาก มีการนั่งสมาธิเพื่อสงบจิตใจก็ไม่ถือว่าเป็นบ้าอย่างแน่นอน และที่บอกว่าพบคุณหมอใส่เสื้อเกราะและนำเปลือกหอยผูกที่เอว นั้นก็เพราะตนเป็นคนใส่ให้คุณหมอเอง เพื่อจะไปที่อำเภอในการหย่ากับภรรยา สำหรับหอยดังกล่าวคือเบี้ยแก้ที่ป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ได้ถือว่าบ้า
สำหรับผลประโยชน์ทางด้านสถาบันกวดวิชา คุณหมอเล่าให้ฟังว่าเป็นคนที่หาเงินอยู่คนเดียวและเหนื่อยมาก เมื่อก่อนผลประโยชน์จะแบ่งเป็นเงินเดือนและเปอร์เซ็นต์ให้ แต่มาช่วงหลังตั้งแต่เดือนตุลาคมปี”49 ที่ผ่านมาคุณหมอเป็นผู้บริหารคนเดียว และเป็นคนแบ่งผลประโยชน์ให้กับทางครอบครัว ปีละประมาณ 100 ล้านบาท โดยทุกคนจะได้เท่าๆกัน แต่หมอกลับทำงานเพียงคนเดียว ส่วนเรื่องจะได้ไม่เท่ากันอย่างไรตนไม่ทราบ
-ยันไม่ใช่มือที่3หรือเมียน้อย
น.ส.เปมิกา กล่าวอีกว่า คุณหมอเคยบอกไว้ด้วยว่า หากหย่ากับภรรยาแล้วเขาต้องการอะไรก็จะให้หมดเลย ขอเพียงชีวิตอิสระกลับคืนมาเท่านั้นก็พอ คุณหมอเป็นคนที่รักลูกมาก ทุกวันคุณหมอจะต้องกลับไปบ้าน เล่นกับลูกและรอจนนอนถึงออกจากบ้าน ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลแค่ไหน ก็จะต้องกลับบ้านไปหาลูกทั้งสองคนก่อน
“มือที่สามที่ถูกกล่าวหานั้น ยืนยันได้เลยว่าคุณหมอไม่มีเพื่อนที่ไหน และเมื่อมีความทุกข์ก็จะมาปรับทุกข์กับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ตนไม่สนใจว่า ใครจะหาว่าตนเป็นมือที่ 3 หรือเป็นเมียน้อย หรือหวังสมบัติ เพียงอยากให้คุณหมอได้ออกมาพูดให้กับสังคมได้รับทราบว่าใครที่ทำให้คุณหมอเป็นแบบนี้เท่านั้นเอง” น.ส.เปมิกา กล่าวและว่า คุณหมอมีโรคประจำตัวคือโรคภูมิแพ้ต้องกินยาอยู่เป็นประจำ แอติเฟ กินแล้วนอนเพราะยานี้กินแล้วจะง่วง และโรคของทางเดินปัสสาวะ และไปตรวจที่ร.พ.มานั้นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่อยากมีเพศสัมพันธ์ ประกอบกับคุณหมอปฏิบัติธรรมด้วย ตนขอบอกว่าทุกครั้งที่คุณหมอมีการหลั่งออกมานั้นจะออกมาเป็นเลือด ที่ออกมาเรียกร้องคืออยากให้ปล่อยตัวคุณหมอออกมา เพราะว่าอยากจะรู้ว่าคุณหมอเป็นอะไร เท่านั้นเองไม่มีอย่างอื่นแอบแฝงเลย น.ส.เปมิกากล่าว
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์