เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 ก.พ. พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนในคดีวางระเบิดป่วนกรุงเทพฯ เดินทางไปที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พร้อมนำพยานหลักฐานในคดีวางระเบิด ไปมอบให้กับนางจิราวรรณ สุญาณวนิชกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ที่ห้องทำงานชั้น 10 ศาลอาญา โดยนางจิราวรรณได้หารือร่วมกับนายธันว์ บุญยะตุลานนท์ เลขานุการศาลอาญา ได้ร่วมกันพิจารณาพยานหลักฐาน ร่วมกัน โดยใช้เวลานานกว่า 2 ชม. จึงแล้วเสร็จ
จากนั้น พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ออกมาเปิดเผยว่า ออกหมายจับผู้ต้องหาเพียงคนเดียว โดยทางพนักงานสอบสวนได้นำหลักฐานเป็นภาพวีดิโอวงจรปิด บริเวณสี่แยกสะพานควายที่เกิดเหตุระเบิดขึ้น หลังจากที่นางจิราวรรณ สุญาณวนิชกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้พิจารณาหลักฐานทั้งหมดแล้วจึงอนุมัติออกหมายจับ ผู้ต้องสงสัยรายนี้ เป็นชายไม่ทราบชื่อ โดยดำเนินคดี 5 ข้อหา คือ ก่อการร้าย พยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นและทรัพย์สินของผู้อื่น มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้เสียทรัพย์ซึ่งมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ และทำให้เสียทรัพย์
ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า สำหรับการออกหมายจับผู้ต้องหารายนี้ แม้ทางพนักงานสอบสวนจะไม่ทราบชื่อและนามสกุล แต่กฎหมายได้เปิดช่องไว้ว่า หากมีหลักฐานระบุความผิดที่ชัดเจน แม้จะไม่ทราบว่าผู้กระทำความผิดเป็นใคร ก็สามารถออกหมายจับได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ต้องหารายนี้พนักงานสอบสวนสเกตช์ภาพคนร้ายและทำภาพเชิงซ้อนไว้หรือไม่ พล.ต.ท.จงรักกล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่มีภาพใบหน้าคนร้ายไว้เป็นแนวทางในการติดตามจับกุมแล้ว ทั้งนี้ ต้องรอเสนอต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร. ในวันจันทร์ที่ 19 ก.พ. นี้อีกครั้ง เพื่อให้ท่านพิจารณาว่าจะนำเผยแพร่ต่อสาธารณชนหรือไม่ สำหรับผู้ต้องหารายนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นพลเรือน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในส่วนของเหตุระเบิดในจุดอื่นๆนั้น ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนกำลังเร่งหาพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาที่เหลือต่อไป ส่วนนายถวัลย์ศักดิ์ แปะแนะ ผู้ต้องสงสัยในคดีวางระเบิดที่ห้างซีคอนสแควร์นั้น กำลังอยู่ในระหว่างติดตามมาสอบสวน ซึ่งได้ประสานกันกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อเร่งติดตามแล้ว
ส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร.กล่าวว่า จากการที่มอบหมายให้หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีระเบิด 9 จุดใน กทม.และ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 49 ที่มี พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมกันดำเนินการตรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมทั้งหมด และได้นำเข้าหารือกับตนเกี่ยวกับเรื่องการขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาในคดี เหตุเกิดที่สะพานควาย วันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 16.53 น. จากการปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า สามารถดำเนินการได้ แต่การขออนุมัติหมายจับต้องให้ศาลเป็นผู้อนุมัติ จึงให้ พล.ต.ท. จงรักนำพยานหลักฐานไปเสนอต่อศาล ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด พยานหลักฐานอื่นๆ ที่ได้ประมวลแล้วเชื่อว่า ภาพบุคคลที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดคือ ผู้กระทำความผิด โดย พล.ต.ท.จงรักรายงานว่า ได้อธิบายพร้อมนำภาพจากกล้องวงจรปิดไปเสนอต่อศาล ในที่สุดศาลได้ อนุมัติหมายจับในวันนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า บุคคลที่ออกหมายจับเป็นใคร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า จะมีการตรวจสอบอีกครั้ง เพราะขณะนี้เพิ่งได้รับภาพชัดเจน ที่ยืนยันชัดเจนเพราะได้ตรวจสอบจากพยานหลักฐานทั้งหมด แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ บุคคลนี้อาจเป็นบุคคลที่รับจ้าง หรือถูกใช้ จ้างวานมาวาง แต่ว่าเบื้องหลังคือใคร ต้องพยายามรวบรวมหลักฐานให้ได้ต่อไป ซึ่งจะต้องสัมพันธ์กับจุดอื่นๆด้วย เพราะว่าเหตุเกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดที่นำเสนอศาลวันนี้ได้ส่งไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการประเทศแคนาดาเช่นกัน ผู้สื่อข่าวถามว่า จากแนวทางการสืบสวนสอบสวนน่าจะมีผู้ก่อเหตุกี่คน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า คนวางคนเดียวแน่ แต่คนดูต้นทาง คนที่ขับรถช่วยเหลือ คนจะทำอะไร คนจะมอบนโยบายจ้างวาน มันก็หลายขั้นตอน มีเพิ่มเติมแล้วจะแจ้งให้ทราบ แต่ขณะนี้ยังเปิดเผยไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า คาดว่าจะมีผู้ต้องหาในคดีอีกกี่คน รักษาการ ผบ.ตร.กล่าวว่า ยังไม่แน่ชัด ตนจะได้กำชับพนักงานสอบสวนต่อไป พนักงานสอบสวนต้องทำงานหนักขึ้น ในการที่จะรวบรวมหลักฐาน และในวันจันทร์ที่ 19 ก.พ. จะมีการประชุมกันอีกครั้ง ส่วนจะเปิดเผยภาพผู้ต้องหารายนี้ได้หรือไม่ จะปรึกษาหารือกับพนักงานสอบสวนที่รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดว่า มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพยานหลักฐานชิ้นนี้ และที่ศาลอนุมัติหมายจับให้ ซึ่งเมื่อมีความเห็นแล้ว จะดำเนินการตามมติของที่ประชุม ว่าจะตรวจสอบในทางลับหรือจะเปิดเผยให้ประชาชนให้ความร่วมมือ ขณะนี้เรายังไม่รู้ชื่อ ส่วนรูปพรรณสัณฐานที่บรรยายต่อศาล เป็นชายไทย รูปร่างสูง 170 เซนติเมตร สวมเสื้อผ้าอะไรเป็นเรื่องปกติ ถ้าที่ประชุมเห็นว่าควรเปิดเผยก็จะเปิดเผย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ต้องหาที่ออกหมายจับเป็นพลเรือนหรือคนมีสี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เลี่ยงที่จะตอบกล่าวเพียงว่า คล้ายๆผู้สื่อข่าวที่ยืนอยู่แถวนี้มั้ง ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ต้องหาที่ออกหมายจับมีความเกี่ยวโยงกับผู้ ต้องสงสัย 19 คน ที่เคยเชิญตัวมาสอบปากคำก่อนหน้านี้หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า อย่าเพิ่งพูดลึกลงไป เพราะ 19 คนที่เคยนำตัวมา เห็นแล้วว่าเป็นใคร เปรียบเทียบ ดูก็เห็น ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ต้องหาที่ขออนุมัติหมายจับมีความเกี่ยวข้องกับเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ขอให้หลักฐานชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ ยังไม่อาจด่วนสรุปได้ เพราะว่าพยานหลักฐานบางอย่างบางที อาจจะมองว่าเชื่อมโยงได้ แต่จะไปสรุปโดยที่ยังไม่ชัดเจน ขอยังไม่สรุปแล้วกัน ส่วนสาเหตุที่ก่อเหตุระเบิด รักษาการ ผบ.ตร. กล่าวว่า ให้ พนักงานสอบสวนทำงานก่อน อย่ารีบด่วนเพื่อจะทราบผล
ผู้สื่อข่าวถามว่า จุดเกิดเหตุอื่นมีข้อมูลใกล้เคียงหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี รอง ผบก.ศูนย์สืบสวน บช.น. รายงานข้อมูลทางลับให้ทราบเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้รายงานเรื่องการขอออกหมายจับให้นายกรัฐมนตรี และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ คมช. หรือยัง รักษาการ ผบ.ตร. กล่าวว่า ยัง จะรายงานให้ทราบตามขั้นตอนต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลในการยกเลิกข้อตกลงการทำคดีนี้ระหว่าง สตช. กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ไม่มีอะไร เมื่อทางดีเอสไอยืนยันว่า เรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของ สตช. แล้ว ทางดีเอสไอจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ในข้อตกลงเดิมมี 4 ข้อ ตนจึงหารือกับ พล.ต.ท.จงรัก ว่า ควรเหลือข้อตกลงเท่าใด ก็พยายามบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น จึงเหลือระดับนี้ จะได้อยู่ในขอบเขตของแต่ละหน่วยงาน ยืนยันว่า ไม่มีปัญหา หรือไม่เข้าใจเรื่องการทำงานระหว่างกัน พร้อมปฏิเสธไม่ใช่ปัญหาเรื่องการข่าวจะรั่ว คือต้องมีอิสระพอสมควร อย่างเวลาผู้พิพากษาพิจารณาทางคดี ใครไปทำอะไรได้ไหม ก็ต้องมีอิสระ หรือเหมือนหนังสือพิมพ์ ถ้าตนขอเข้าไปตรวจสอบคอลัมน์ด้วยเป็นอย่างไร พร้อมปฏิเสธ เรื่องการแย่งผลงานกันว่า ไม่มี พวกเรารักกันอยู่แล้ว ส่วนตัวไม่เคยพบอธิบดีดีเอสไอ แต่มี พล.ต.ท.จงรัก ประสานให้ตลอด
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายกรัฐมนตรีให้ สตช.และดีเอสไอทำงานร่วมกันเพื่อความโปร่งใสเมื่อยกเลิกข้อตกลงจะมีปัญหาหรือไม่ รักษาการ ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่มี ดูที่สาระ ยกเลิกประเด็นไหนอย่างไร หมายความว่า อย่างตำรวจทำอะไรจะแจ้งให้ดีเอสไอทราบ ก็แจ้ง แต่ถ้ากำลังจะทำแล้วดีเอสไอเข้ามาทำ ก็ไม่จำเป็น ในเมื่อเป็นงานของตำรวจ แต่ก็แจ้งให้ทราบ หรือทางดีเอสไอได้ข้อมูลอะไรมาแจ้งให้ตำรวจทราบก็ยินดี ซึ่งที่ผ่านมาดีเอสไอก็ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทางคดีมา
ด้าน พล.ต.อ.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร.(กศ) กล่าวถึงการประสานส่งภาพกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุระเบิดไปตรวจสอบยังต่างประเทศว่า ขณะนี้กำลังรอผล คิดว่าจะได้ผลดี เพราะเป็นการใช้เทคโนโลยี มีเครื่องมือเข้ามาช่วย แต่ก็ไม่ใช่มนต์วิเศษ ต้องอยู่ในมุมที่สามารถทำได้และสามารถนำสืบผู้ชำนาญทางด้านนี้ในชั้นศาลได้ ซึ่งได้ส่งหลักฐานทั้งหมดที่มีไปให้เจ้า-หน้าที่ประเทศแคนาดาตรวจสอบ ส่วนในภาพปรากฏผู้ต้องสงสัยกี่คน เป็นรายละเอียดมาก และมีจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า กล้องวงจรปิดที่ส่งไปตรวจสอบเป็นจุดเดียวกับทางดีเอสไอตรวจสอบหรือไม่ พล.ต.อ. อิสระพันธ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่าดีเอสไอดำเนินการอย่างไร ส่วนจะได้รับผลตรวจเมื่อใดนั้น คงต้องเร็วที่สุด ได้สั่งกำชับแล้วว่า ถ้าช้าประเดี๋ยวบอกว่า ใส่เกียร์ว่าง ทำเต็มที่ ไม่มีใครนิ่งนอนใจ
ก่อนหน้านั้นในช่วงเช้า นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึง กรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร.ออกมาให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ในทำนองไม่พอใจ กรณีที่ถูกนักข่าวถามเกี่ยวกับการขออนุมัติออกหมายจับคนร้ายลอบวางระเบิด โดยอ้างถึงทางดีเอสไอ ระบุว่าไม่มีหลักฐานที่จะ ออกหมายจับว่า เข้าใจว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ไม่สบายใจเพราะมีนักข่าวไปถามท่าน ก่อนหน้านี้มีนักข่าวถามตนก่อนว่า มีหลักฐานพอหรือยังในการออกหมายจับ จึงได้ตอบในส่วนของดีเอสไอว่าหลักฐานยังไม่พอ และระบุว่าการออกหมายจับต้องมีหลักฐานมากกว่านี้ ต่อมามีนักข่าวไปถาม รักษาการ ผบ.ตร.อาจทำให้ท่านเข้าใจว่า ดีเอสไอไปวิจารณ์พยานหลักฐานของตำรวจ เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ประสานมา ทั้งนี้ เมื่อทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอยกเลิกข้อตกลงในการสืบสวนสอบสวนคดีระเบิดครั้งนี้ ดีเอสไอก็ยินดี เมื่อตำรวจมีความมุ่งมั่นดีเอสไอไม่ขัดข้องและขออยู่เบื้องหลัง เพราะอำนาจการสอบสวนไม่ได้อยู่ที่ดีเอสไอ แต่ดีเอสไอทำตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ถามว่าได้ โทรศัพท์คุยกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์บ้างหรือยัง นายสุนัยกล่าวว่า คงไม่ต้องคุยโทรศัพท์ เข้าใจธรรมชาติของสื่ออยู่แล้ว เราทั้งสองเข้าใจกันดี ไม่ถือสา แต่ต้องทำความเข้าใจกับสื่อมากกว่า
ขณะที่นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ดูรายละเอียดแล้ว ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย เรื่องของเรื่องคือมีการถามแล้วตอบกันคนละครั้ง ถ้ามีเวลาตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด จะทราบว่าทั้งสองท่าน ไม่ได้ขัดแย้งกันในคดีนี้ ตนไม่ได้หนักใจอะไร ขอให้จับตัวคนร้ายมาให้ประชาชนเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมยังเป็นที่พึ่งได้ ส่วนรายละเอียดความร่วมมือ คงต้องให้ผู้ใหญ่ทั้งสองหน่วยหารือกัน
เที่ยงวันเดียวกัน พ.ต.ท.เอกชัย ปรัชญาวุฒิรัตน์ รอง ผกก.สส.สน.บางยี่เรือ รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดภายในห้องน้ำชาย ชั้น 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ซอยอิสรภาพ 15 แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กทม. จึงพร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์ หลักฐาน และหน่วยเก็บกู้ตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด ตปพ.ไปตรวจที่เกิดเหตุ พบฝุ่นละอองสีขาวคล้ายกับแป้งกระจายเต็มพื้นและฝาผนัง โดยมีชิ้นส่วนเศษพลาสติกสีน้ำเงินและกระดาษตกอยู่หลายชิ้น จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมา พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผบช.น. เข้าประชุมร่วมกับคณะอาจารย์ของมหาวิทยาลัย เพื่อหาสาเหตุของระเบิดในครั้งนี้ ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นประทัดยักษ์ โดยก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุระเบิดโดยการจุดประทัดยักษ์มาแล้ว 2-3 ครั้ง คาดว่าเป็นเรื่องความคึกคะนองของนักศึกษา ขณะนี้กำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อหาตัวผู้กระทำผิด ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในขณะเกิดเหตุทางมหาวิทยาลัยกำลังมีการเลือกตั้งประธานนักศึกษา และนายกองค์การบริหารนิสิตนักศึกษา ซึ่งอาจจะมีความขัดแย้งกันภายใน
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์