ความคืบหน้าการตามล่าตัวคนร้ายลอบวางระเบิดป่วนกรุงเทพฯและนนทบุรี รวม 9 จุด เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่นาน ปรากฏว่ามีภาพของนายถวัลย์ศักดิ์ แปแนะ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ต้องหาที่ถูกศาลจังหวัดเบตง ออกหมายจับในคดีลอบวางระเบิดใน อ.เบตง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 49 ถูกนำออกมาเผยแพร่ เนื่องจากถูกระบุว่าหน้าตาคล้ายผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจเชื่อว่านำระเบิดไปวางในห้างซีคอนสแควร์ ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ยันข่าวไม่ได้หลุดจากดีเอสไอ
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 2 ก.พ. นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบวางระเบิด 9 จุดใน กทม.และนนทบุรี ว่า เบื้องต้นภาพชายผู้ต้องสงสัยปรากฏเป็นข่าว เป็นคนเดียวกับที่ดีเอสไอแกะรอยได้จากกล้องวงจรปิด จุดที่ห้างซีคอนสแควร์ แต่ยังไม่ยืนยันแน่นอนว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ เนื่องจากเป็นเพียงการวิเคราะห์จากภาพ ซึ่งภาพที่ได้ ไม่ค่อยชัดเจนเท่าที่ควร เนื่องจากจอโทรทัศน์วงจรปิดไม่มีประสิทธิภาพมากพอ แต่พฤติการณ์บุคคลดังกล่าว ค่อนข้างน่าสงสัย จึงได้ส่งภาพบุคคลที่ได้ไปวิเคราะห์ยังต่างประเทศ โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสูง คาดว่าประมาณ 1 อาทิตย์คงทราบผล และประสานงานขอซอฟต์แวร์ดังกล่าวที่ใช้ตรวจกลับมาด้วย ส่วนภาพข่าวที่หลุดไปถึงสื่อมวลชนนั้น ได้เรียกชุดสืบสวนชี้แจง ทุกคนยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่ทราบว่าผู้สื่อข่าวได้มาจากแหล่งข่าวใด แต่รับรองได้ว่าไม่ได้ออกจากกรมสอบสวนคดีพิเศษอย่างแน่นอน
ระบุหลักฐานยังไม่ชัดเจน
“หลักฐานที่มีอยู่ยังไม่ชัดเจน เพราะกล้องบันทึกได้ภาพเบลอๆ แต่มองเห็นได้ว่ากลุ่มผู้ต้องสงสัยมี 3-4 คน มีพฤติการณ์น่าสงสัยเชื่อมโยงกัน กล้องหลายตัวในห้างดังกล่าวตามจับภาพพบกลุ่มผู้ต้องสงสัยมีการเดินถือและหนีบถุงไปมาก่อนเกิดเหตุ อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่าการระเบิดทั้ง 9 จุด จะมีผู้ต้องสงสัยร่วมขบวนการมากกว่า 3 คน แต่แนวทางการสืบสวนแม้ชื่อสกุลผู้ต้องสงสัยจะมีภูมิลำเนาใน 3 จังหวัดภาคใต้ แต่ยังไม่มี หลักฐานใดที่จะเชื่อมโยงว่า การระเบิดเกี่ยวข้องกับความไม่สงบในภาคใต้ อีกทั้งคนใน 3 จังหวัดภาคใต้ก็มาอยู่ในกรุงเทพฯเป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้หมายความว่า การที่มาอยู่ในกรุงเทพฯเป็นคนที่เคยก่อเหตุในภาคใต้มาก่อน” นายสุนัยกล่าว
ย้ำ ตร.จะจับต้องประสานมาก่อน
นายสุนัยกล่าวต่อว่า แนวทางการดำเนินการหลังจากนี้ ต้องหาพยานแวดล้อมเกี่ยวกับบุคคลดังกล่าว เพื่อยืนยันว่าเป็นผู้ต้องสงสัยจริงๆ เช่น วันเกิดเหตุผู้ต้องสงสัยอยู่ที่ใด ต้องมีพยานจนเชื่อมั่นจึงขอหมายจับ และขยายผลบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีบุคคลหลายฝ่ายหลายจุด ที่ต้องตรวจสอบ การสืบสวนยังไม่ตัดประเด็นทิ้งไปและไม่ได้มุ่งไปที่คนใดคนหนึ่ง การสืบสวนจะใช้หลักฐานนำพาไป คงต้องดูกันว่าจะสามารถไปได้ถึงไหน และคาดว่ายังไม่มีการออกหมายจับผู้ต้องสงสัย เนื่องจากหากตำรวจจะออกหมายจับก็ต้องประสานมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพราะมีข้อตกลงไว้ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมสอบสวนคดีพิเศษว่า การปฏิบัติการใดที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพประชาชนจะต้องประสานงานกันก่อน อย่างไรก็ตาม หากตำรวจต้องการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยตามหมายจับเดิม ก็มีอำนาจสามารถทำได้ ทั้งนี้ หากตำรวจไปจับผู้ต้องสงสัยตามหมายจับเดิม เพื่อนำตัวมาสืบสวนสอบสวนในคดีระเบิดกรุงเทพฯ ควรประสานความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษตามข้อตกลง
ขอร้องสื่อให้นิ่งรอแถลงข่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า แนวทางการสืบสวนการลอบวางระเบิด ยังให้น้ำหนักการเสียผลประโยชน์ทางการเมือง หรือมีประเด็นใหม่ที่มีน้ำหนักเพิ่มเติม นายสุนัย กล่าวว่า ยังไม่อยากระบุ เนื่องจากข้อมูลยังไม่ชัดเจน แต่ขณะนี้ยังไม่มีจุดเชื่อมโยงที่แท้จริง ว่าเป็นเรื่องของการก่อกวนทางภาคใต้ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่คนร้ายจะมาก่อเหตุในกรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวถามว่า หลักฐานตอนนี้สามารถโยงไปสู่ผู้บงการได้หรือไม่ นายสุนัยกล่าว ยังโยงไม่ได้ ขณะนี้ข้อมูลออกมาจากหลายฝ่ายทั้งภาพทั้งรายละเอียดมากมาย จนเกิดความสับสน ขอความร่วมมือให้สื่อนิ่งรอให้การสืบสวนสอบสวนไปถึงจุดที่แน่นอนก่อน แล้วตนจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ
เสนอที่ประชุมให้เป็นคดีพิเศษ
นายสุนัยกล่าวต่อว่า ส่วนจะมีการนำลอบวางระเบิด 9 จุด เข้าเป็นคดีพิเศษหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการคดีพิเศษจะเสนอในที่ประชุม แต่ส่วนตัวเห็นว่า คดีนี้เหมาะสมที่จะเป็นคดีพิเศษได้ สาเหตุเนื่องจากกรมสอบสวนมีวิธีการสืบสวนสอบสวนพิเศษกว่าหน่วยงานอื่น ประการแรกดีเอสไอสามารถจะดึงผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เข้าเป็นพนักงานสอบสวนได้ สามารถใช้เทคนิคการดักฟังโทรศัพท์มาเป็นเครื่องมือได้ และการแฝงตัวโดยชอบด้วยกฎหมายก็สามารถทำได้ นอกจากนี้ การปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวน ยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการคดีพิเศษ ซึ่งจะทำให้คดีมีความถูกต้องและเป็นธรรมมากขึ้น
ข้อมูลหลุดกระทบการทำงาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพและรายละเอียดของผู้ต้องสงสัย ที่หลุดออกไปเป็นข่าว เป็นการดิสเครดิตดีเอสไอหรือไม่ นายสุนัยกล่าวว่า ยอมรับมีผลกระทบต่อดีเอสไอ เพราะคนที่อ่านข่าวจะเข้าใจว่ารายละเอียดออกมาจากการให้ข่าวของตน ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่เคยพูด นอกจากนี้จะทำให้การทำงานยากลำบากขึ้น หลังจากนี้จะไม่มีการให้ ข่าวใดๆ จนกว่าการสืบสวนจะมีความชัดเจน จนสามารถขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาได้ตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสน ในส่วนของตำรวจก็คงไม่ต้องไปทำความเข้าใจอะไรอีกแล้ว เพราะทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ได้กำชับแล้วว่าไม่ให้ทุกฝ่ายเปิดเผยข้อมูลในสำนวนคดี
ปลัด ยธ.อ้างไม่แย่งผลงานตำรวจ
ขณะที่นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่มีการพาดพิงว่า รูปผู้ต้องสงสัยคดีวางระเบิด 9 จุด อาจหลุดมากจากดีเอสไอ ว่าไม่ได้เป็นการแย่งผลงานของชุดพนักงานสอบสวน ตำรวจนครบาลแต่อย่างใด เรื่องผลงานไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สำคัญที่ต้องจับโจรให้ได้ เป็นเรื่องการที่ทั้งสองหน่วยงานทำงานต้องประสานและแบ่งงานกันว่า ใครจะทำงานในจุดไหนอย่างไร หน่วยไหนที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งตนก็ไม่ทราบ แต่ขอให้ทำแล้วสามารถจับโจรได้ การเผยแพร่ภาพของผู้ต้องหาออกไปในสื่อต่างๆ หากมองในแง่ดี ต้องยอมรับว่า สื่อมวลชนทำหน้าที่เสนอข่าวได้เป็นอย่างดี เพราะจะทำให้ประชาชนได้เห็นหน้าคนร้าย และช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ตามจับตัวได้ เพราะว่าผู้ร้ายดังกล่าวมีหมายจับอยู่แล้ว
ผบช.น.ฉุนสั่งหาตัวคนให้ข้อมูล
ส่วนที่ บช.น. พล.ต.ท. วิโรจน์ จันทรังษี ผบช.น. เรียกคณะทำงานสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีประกอบด้วย พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น รอง ผบช.น.หัวหน้าคณะทำงาน พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. พล.ต.ต. นิพนธ์ ภุมรินทร์ รอง ผบช.น. พ.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบก.น. 1 ศูนย์สืบสวน บช.น. และคณะทำงาน ประชุมความคืบหน้าคดีระเบิด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม ผบช.น.ได้ตำหนิคณะทำงานอย่างรุนแรง ที่ปล่อยให้ข้อมูลสำคัญทางคดีเล็ดลอดออกไป ทั้งที่เป็นความลับของทางราชการ พร้อมตรวจสอบว่าเกิดจากความผิดพลาดและบกพร่องของผู้ใด การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวมีผลให้การทำงานด้านการสืบสวนทำได้ยาก ตำรวจจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานพยานแวดล้อม เพื่อยืนยันมัดตัวผู้ต้องสงสัย จึงปรับแนวทางการสืบสวนสอบสวนใหม่ให้รัดกุมและรอบคอบมากกว่าเดิม กำชับไม่ให้มีการให้ข่าวข้อมูลใดๆ แก่สื่อมวลชน หลังจากเสร็จสิ้นประชุมนายตำรวจแต่ละคน ต่างแสดงสีหน้าเคร่งเครียดโดยไม่เปิดเผยข้อมูล
มทภ.1 คุยสอบในทางลับมานานแล้ว
เมื่อเวลา 11.30 น. ที่กองทัพภาคที่ 1 พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเหตุการณ์ระเบิด 9 จุด ในพื้นที่ กทม.และ จ.นนทบุรีว่า ขณะนี้การทำงานได้ดำเนินการคู่ขนานระหว่างกรมสอบสวน คดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และตำรวจ ซึ่งทราบว่ามีเรื่องรูปภาพต่างๆ ที่เป็นหลักฐานออกมาเปิดเผย และมีความก้าวหน้าไปตามลำดับ เพราะเรารู้ตัวว่ามีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ไม่อยากสรุปว่ามีการเกี่ยวพันกันอย่างไรบ้าง หรือโยงกับเหตุการณ์ภาคใต้อย่างไร ข้อมูลดังกล่าวรู้กันอยู่แล้ว เพียงแต่สอบกันเงียบๆ แต่เมื่อปรากฏออกมาอย่างนี้ ก็ต้องว่ากันต่อไป ตนเคยพูดแล้วว่าเรามีรูปภาพอยู่ เพียงแต่มีการสอบทางลับ แต่เมื่อมาเปิดก็จะต้องว่ากันจะทำอย่างไร เพราะจริงๆ อยากจะมีการสอบทางลับมากกว่า
สั่ง จนท.การข่าวเกาะติดพื้นที่
เมื่อถามว่ากองทัพดูแลเรื่องนี้อย่างไร เพราะมีนักศึกษาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 1 รับผิดชอบงานในส่วนของ กอ.รมน.ในพื้นที่ กทม. จึงได้จัดเจ้าหน้าที่งานด้านการข่าวไปเกาะติดในพื้นที่ ที่ผ่านมาพยายามควานหาเป้าหมายอยู่ ซึ่งก็มีพอสมควร และปัจจุบันมีเพิ่มขึ้นมาอีก คิดว่างานด้านการข่าวของทหาร ตำรวจ และดีเอสไอ จะมีผลต่อเนื่องทำให้การคลี่คลายคดีลอบวางระเบิดไปในทางที่ดี
ไม่อยากให้รีบร้อนทำงาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การคุมตัวทหารมาสอบปากคำในฐานะผู้ต้องสงสัย เป็นการจับแพะหรือมวยล้ม พล.ท. ประยุทธ์กล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะมีหลักฐานหลายประเด็นด้วยกัน หลักฐานแรกคือกล้องซีซีทีวี และมีการสอบกันในทางลับ ส่วนอีกเรื่องคือการสอบสวนความเกี่ยวโยงจากผู้ต้องสงสัยอื่น ที่เกี่ยวข้องในการเป็นครูสอน ซึ่งถือเป็นกรณีที่ 2 ซึ่งก็เอากรณีนี้มาดำเนินการ โดยเชิญตัวมา สอบหาข้อเท็จจริง ปรากฏว่าผลการสอบสวนยังไม่มีผู้เกี่ยวข้อง และไม่มีใครตกเป็นผู้ต้องหาก็ต้องปล่อยตัวไปก่อน ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือเอาภาพจากกล้องซีซีทีวีมาเปรียบเทียบ และพิสูจน์ว่าเป็นใครอย่างไร ซึ่งต้องรอผลการสอบสวน ต้องใจเย็นๆ ไม่อยากให้รีบร้อนออกมา เพราะไม่บังเกิดผลดี
อย่าโยงสถานการณ์ใต้ลามเข้ากรุง
เมื่อถามว่าหลักฐานที่มีอยู่ในภาพสามารถโยงไปทางไหนบ้าง พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า เท่าที่ดีเอสไอเปิดเผยว่า มีผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ภาคใต้เก่า ซึ่งต้องพิสูจน์ต่อไปว่าใช่คนวางระเบิดจริงหรือไม่ ถ้าเขาวางจริง หรือวางเองด้วยการรับจ้าง หรือสถานการณ์ทางภาคใต้ ทางเราก็ยังตอบไม่ได้ อย่าเพิ่งไปยืนยันว่าสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ลุกลามเข้ามาใน กทม.
ยังติดตามกลุ่มคลื่นใต้น้ำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงอะไรหรือไม่ เพราะคดีนี้ประชาชนจับตาดูกันอยู่ พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ห่วงอยู่ดี เพราะประธาน คมช.ได้สั่งการย้ำมาให้ช่วยดำเนินการโดยด่วน เพื่อทำงานควบคู่กับตำรวจ เพราะคดีนี้เป็นคดีที่มีความสำคัญ และสะเทือนขวัญของชาว กทม. และไปถึงต่างประเทศ มันจะต้องหาคนทำผิดมาให้ได้ จะเป็นใครก็แล้วแต่ต้องดำเนินการไม่มีมวยล้มอย่างแน่นอน เมื่อถามว่า กองทัพมีการจับตากลุ่มใดเป็นพิเศษหรือไม่ ที่เข้ามาป้วนเปี้ยนใน กทม. พล.ท.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ถามตนเสมอว่า กลุ่มคลื่นใต้น้ำมีหรือไม่ ความจริงไม่ อยากระบุเป็นกลุ่มคลื่นใต้น้ำ แต่คิดว่าเป็นกลุ่มผู้ไม่หวังดี ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือออกมาพูดจาไม่เหมาะสม เป็นพวกที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม อาจโยงไปถึงกลุ่มที่ทำให้เกิดความไม่นิ่งทางการเมือง ทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งได้ติดตามกลุ่มเหล่านี้ ทั้งหมด
จวกมือยิงเอ็ม 79 ต้องบ้าถึงทำได้
พล.ท.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ยิงเอ็ม 79 ถล่มใส่ นสพ.เดลินิวส์ และโรงแรมรามาการ์เด้นส์ว่า ตนพยายามดูแลอย่างดีที่สุด เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุ แต่ ถามว่าพื้นที่ กทม. เป็นอย่างไร ซึ่งไม่ได้ผลักภาระให้ ประชาชนจะต้องมารับผิดชอบตัวเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร พลเรือน เป็นเจ้าหน้าที่หลักในการรับผิดชอบ จะต้องช่วยกันดูแลความสงบเรียบร้อย ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก “ประเทศไทยติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็มีการลักลอบรั่วไหลกันเข้ามา ที่เกิดขึ้นมาเป็นเพียงส่วนน้อย เพราะเราได้ควบคุมดูแลอย่างเต็มที่ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันต้องบ้าถึงทำได้ ทั้งผมยืนยันว่า เอ็ม 79 ที่นำมาใช้ก่อเหตุไม่ได้มีการหลุดออกมาจากกองทัพอย่างแน่นอน เพราะกองทัพมีการควบคุมดูแลเป็นอย่างดี และยกเลิกประจำการไปแล้ว อีกทั้งเอ็ม 79 ที่ใช้ก็เป็นคนละชนิดกัน ของกองทัพเป็นกระบอกยาว”
เมื่อถามว่า เบื้องต้นจากการสอบสวนเหตุการณ์ยิงถล่มเดลินิวส์ เกิดจากความขัดแย้งภายในองค์กร พล.ท. ประยุทธ์กล่าวว่า ก็มีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากมายเท่าไหร่ โดยได้มีการพูดคุยกับในส่วนของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ก็พอมีอยู่บ้าง ต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่อยากพูดไปเดี๋ยวจะเสียรูปคดี ทั้งนี้ หากเร่งรัดมากๆ จะรีบร้อนทำกัน และจะออกมาไม่ดี
เลิกพูดเรื่องปลด ผบ.ตร.
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นเรื่องการเลื่อยขาเก้าอี้ผบ.ตร. สามารถตัดออกไปได้เลยใช่ไหม พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เลิกพูดดีกว่า ความสามัคคีจะสีใดเหล่าใดต้องรักกันตอนนี้ สถาบันคือสถาบัน ถ้าไม่เชื่อในสถาบันของตำรวจ สถาบันทหาร สถาบันข้าราชการพลเรือน แล้วอย่างนี้จะพึ่งอะไรได้ บุคคลเดี๋ยวก็วิเคราะห์กันเอง เดี๋ยวผู้บังคับบัญชาดูแลกันเองว่าคนนี้ดีไม่ดีอย่างไร ก็เป็นเรื่องของการวิเคราะห์กันเองว่าจะย้ายหรือไม่ย้ายขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา ถ้าเราไปโทษระบบ โดยเอาระบบมาพันกับสถาบัน มันก็จะล้มทั้งหมด แล้วจะพึ่งอะไรได้ ต่อไปก็พึ่งตำรวจ ทหาร พลเรือน ไม่ได้แล้วจะพึ่งใคร เมื่อถามว่า ก็ต้องพึ่งพระสยามเทวาธิวาช พล.ท.ประยุทธ์ กล่าวติดตลกว่า “ท่านก็เหนื่อยแล้วนะผมว่า”
“อนุพงษ์” แจงเรื่อง 19 ผู้ต้องสงสัย
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 15.30 น. ที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. แถลงความคืบหน้าการดำเนินคดีลอบวางระเบิด 9 จุดว่า ภายหลังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวผู้ต้องสงสัยจำนวน 19 คน มาสอบสวนและได้ปล่อยผู้ต้องสงสัยไปเหลือเฉพาะบุคคลที่มีหมายจับเดิม และบุคคลที่มีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง ทั้งนี้จากเอกสารที่ตำรวจรายงานมาฉบับที่ 2 ให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. รับทราบ มีความหนาถึง 5 นิ้ว เป็นรายละเอียดของหลักฐานของบุคคล และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน
หลักฐานไม่ถึงขั้นออกหมายจับ
พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า การที่ต้องปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยไป เพราะพยานหลักฐานทั้งหมดที่มียังไม่สามารถออกหมายจับได้ แต่สิ่งที่ตำรวจจะดำเนินการต่อไปคือ รอผลการพิสูจน์หลักฐานที่มีอยู่เพิ่มเติม ทั้งการดำเนินการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับวัตถุพยานที่มีและได้จากที่เกิดเหตุ และหากสามารถออกหมายจับได้ก็ออกหมายจับ ทั้งนี้ คณะทำงานได้ดำเนินการมามีหลายกลุ่ม มีการติดตามสืบสวนในลักษณะเดียวกัน ซึ่งจะเชิญบุคคลมาและหาพยานหลักฐานมาดำเนินการทุกกลุ่มเพราะมีหลายกลุ่ม
ยันภาพแค่คล้ายคนร้าย
เมื่อถามว่า ข้อมูลของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ออกมาเป็นข่าวทั้งเรื่องรูปภาพจากกล้องวงจรปิดเชื่อถือได้ หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ได้ติดต่อกับดีเอสไอ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ซึ่งอธิบดีดีเอสไอยืนยันว่ามีหลักฐานเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดที่อยู่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้นำออกมาสู่สื่อมวลชน ไม่ได้มีการปล่อยภาพไปที่สื่อมวลชน ยืนยันว่าทั้งตำรวจและดีเอสไอ ไม่ได้ มีการนำภาพออกไป เมื่อถามว่า แสดงว่าภาพที่ออกมาเป็นข่าวไม่ใช่ของจริง พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า เมื่อทั้งสองหน่วยงานยืนยันว่าไม่ได้มีการส่งภาพออกไป ก็ต้องถามสำนักพิมพ์ต่างๆว่าภาพที่ออกมาไปเอามาจากแหล่งใด ที่ไหนอย่างไร ใช่หรือไม่ใช่ เพราะตนไม่ได้เห็นในรายละเอียดว่าตัวบุคคลใช่หรือไม่ ทั้งนี้ รูปในกล้องวงจรปิดเท่าที่ตนเห็นด้วยสายตา ยากที่จะบอกว่าเป็นใคร แม้จะเอาคนที่ใกล้เคียงมาเทียบไม่มีใครสามารถยืนยันได้ด้วยตา
“ที่เห็นไม่สามารถยืนยันได้เลย ถึงจะมีลักษณะคล้าย แต่จะให้บอกว่าใช่หรือไม่ใช่ ก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอได้ส่งภาพไปให้ต่างประเทศคือประเทศเดนมาร์ก ส่วนทางตำรวจส่งให้เอฟบีไอตรวจสอบ เพื่อให้ ภาพออกมาชัด น่าจะเป็นซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์สักตัวที่จะทำให้ภาพชัดเจน แต่จะเชื่อถือได้แค่ไหนนั้น ไม่แน่ใจ และจะเอาภาพนั้นมาเปรียบเทียบกับแฟ้มอาชญากรที่มีอยู่ หรือจะนำออกสื่อก็แล้วแต่ เพื่อที่จะหาคนที่อยู่ในภาพมาให้ได้” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
เฝ้าจับตาดูทุกกลุ่มไม่ทิ้ง
เมื่อถามว่า การทำงานของดีเอสไอกับตำรวจทำงานควบคู่กันได้ไม่มีความขัดแย้งใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มี เพราะตำรวจและดีเอสไอ มีการคุยกันอยู่ เมื่อถามว่า ที่ระบุกลุ่มผู้ต้องสงสัยอธิบายได้ หรือไม่ว่า มีกลุ่มไหนบ้าง พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า มีหลายกลุ่มจริง แต่จะให้ระบุเป็นชื่อคงไม่ได้ รู้แต่ว่ามีหลายกลุ่ม เมื่อถามว่า เป็นขบวนการที่มาจากพื้นที่ภาคใต้หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ความจริงแล้วที่ทำมีทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอิทธิพล กลุ่มมาเฟีย และกลุ่มที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มอำนาจเก่า หรือกลุ่มที่มาจากทางจังหวัดภาคใต้ มีทั้งหมดไม่ได้ทิ้งกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กลุ่มใดจะมีความเป็นไปได้สูงสุดจากการเคลื่อนไหว หรือมีการติดต่อ และสภาพแวดล้อมรวมทั้งด้านข่าวลับ ก็พยายามทำที่จะไปยังกลุ่มนั้นก่อน ซึ่งการทำงานจะไล่ตามลำดับ เพื่อจะไม่ให้นานมากเกินไป
ย้ำภาพมือบึมไม่ชัดเจน
เมื่อถามว่าได้ตรวจสอบหรือไม่ว่าชื่อที่ระบุออกมาว่าเป็นนักศึกษารามคำแหง มีข้อเท็จจริงแค่ไหน พล.อ. อนุพงษ์กล่าวว่า อย่างที่บอกว่า จะเกิดความสับสนว่าเป็นแค่เอาไปเกี่ยวกับสถาบันศึกษา หรือเป็นอนาคตของเด็ก โดยที่หลักฐานเท่าที่เห็นกับตาไม่สามารถบอกได้จริงๆว่ารูปภาพที่มี ไม่ว่าจะเอารูปใครมาเทียบ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรือใครก็แล้วแต่ เอามาเทียบว่าใช่หรือไม่ ตนยืนยันได้ว่าไม่สามารถทำได้แน่ เพราะไม่ชัดจริงๆ นอกจากจะใช้เทคโนโลยีไปทำให้มันชัดกว่านี้แล้วจึงจะเห็น
หวั่นเสียโอกาสจับคนร้ายมาลงโทษ
เมื่อถามว่ามีความต้องการที่จะสร้างความสับสนหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องขอร้องสื่อว่าภาพนั้นต่อให้เทียบเคียงกันอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะบอกว่าเป็นใครได้ ดังนั้น จะต้องรอให้ชัดเจนก่อน โดยเอาภาพไปทำให้ชัดเจน หนทางสุดท้ายอยากจะเรียนให้สื่อมวลชนทราบว่า ภาพมันทำได้แค่นั้น หากสามารถได้ภาพความถูกต้องก็ต้องรบกวนสื่อให้ออกสู่สาธารณชน เพราะเมื่อสื่อออกแล้ว คนที่รู้จักมักคุ้นจะจำลักษณะท่าทางเดินหรือบุคลิกได้ อาจเป็นอีกหนทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจชี้แจงว่าถ้าออกไปตอนนี้และยังไม่มีข้อมูลที่ดีกว่านี้ ถ้าเกิดว่าผู้ที่กระทำความผิดหายตัวไป ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด สังคมจะเสียโอกาสได้คนทำผิดมาลงโทษ ฉะนั้น อยากให้รัดกุมมากกว่านี้ จึงสามารถออกสู่สาธารณะได้ในเร็วๆนี้
ไม่ดึงเวลา...ออกหมายได้จับเลย
เมื่อถามว่าต้องยื้อเวลาออกไปอีกหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้ยื้อเวลา แต่จะทำให้เร็วที่สุด ถ้ามีพยานหลักฐานเร็วที่สุดแล้ว ออกหมายจับเลย เราก็ทำได้ ถ้าทำไม่ได้ก็จะต้องพยายามสืบสวนต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถามว่า ดูแล้วหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ค่อนข้างจะน้อย มีผลต่อรูปคดีหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า หลักฐานตอนนี้ถ้าในความคิดน่าจะอยู่ที่หลักฐานภาพวงจรปิดเป็นหลัก เมื่อภาพวงจรปิดสามารถได้ตัวบุคคลนั้นมา และตรงกับความจริง ก็จะเอาหลักฐานตรงนั้นมาชนกับหลักฐานที่มี เช่น วัตถุระเบิดต่างๆที่มี หรือ หลักฐานการเชื่อมโยงทางการติดต่อสื่อสาร บัญชีการเงินต่างๆจะมีการสนับสนุนกับตอนท้าย แต่ตนคิดว่าน่าจะได้จากภาพมากกว่านำไปสู่ตัวบุคคล
ยอมรับหนักใจกลัวผิดพลาด
ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจเรื่องคดีหรือไม่ ในฐานะที่เป็น คมช. ดูแลงาน พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า หนักใจ อยากได้ผู้ที่กระทำผิดมาตรวจสอบสาธารณะและเข้ากระบวนการยุติธรรม แต่เกรงว่าหากทำผิดพลาดไป และได้คนที่ไม่ใช่มาก็จะเป็นปัญหากับสังคมอีก เพราะฉะนั้นทำไม่ได้ แต่หากทำได้และผิดตัวก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะหนักใจ เมื่อถามว่า ข้อมูลการสอบสวนเพ่งเล็งมาที่ผู้ต้องสงสัยทั้ง 19 คนด้วยหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ต้องดูด้วย แต่ต้องมีหมายศาล หากจะเชิญตัวมา ทั้งนี้ ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ 19 คน เราพิจารณาทั้งหมด เมื่อถามว่า บุคคลในภาพวงจรปิดระบุเป็นผู้ที่มีหมายจับ เป็นผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า หากมองภาพที่ออกมายืนยันว่าดูด้วยตาแล้วไม่น่าจะไปเกี่ยวกันได้ ดังนั้น คงตอบไม่ได้ว่าใช่ภาคใต้หรือไม่ เพราะใครไปมองภาพจากกล้องก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะภาพมีความละเอียดไม่พอ
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์