เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ ได้จัดเสวนาเรื่อง ?การสร้างระบบเพื่อลดคอรัปชัน : ทำอย่างไร? มีนายคณิต ณ นคร คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นายแก้วสรร อติโพธิ เลขา คตส. และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นวิทยากร โดยนายคณิตกล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกามีประสิทธิภาพ เอานายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีมาลงโทษได้ แต่ของไทยดูมีประสิทธิภาพต่อเมื่อจำเลยเป็นชาวบ้าน ถ้าเป็นคนมีอำนาจก็ไม่สามารถจัดการได้ และที่ผ่านมา บางครั้งการเมืองไปล้วงลูกกระบวนการยุติธรรมจนผิดฝาผิดตัว และกระบวนการนี้ทำอะไรไม่ได้จนกว่าฝ่ายการเมืองจะสั่ง เช่น เหตุการณ์วางระเบิด กทม. กระบวนการยุติธรรมต้องลงไปตรวจสอบอย่างละเอียด แต่กลายเป็นการเมืองลงไปทำเอง ดังนั้น วันนี้ต้องทบทวนระบบกระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจัง
ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ กล่าวว่า ปัจจุบัน คนมองเรื่องการปราบคอรัปชันโดยการปราบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ไม่ใช่ ขอให้ตั้งหลักกันดีๆว่า จะปราบคอรัปชันกันจริงๆหรือปราบแค่ พ.ต.ท. ทักษิณเท่านั้น ขณะนี้บ้านเมืองเละจากการคอรัปชันจนไม่รู้จะฟื้นหรือไม่ ลองไปชี้ไล่ดูซี 9 ซี 10 ทุกกระทรวง 5 ปีที่ผ่านมามีการปล่อยคอรัปชันอาละวาด รถป้ายแดงเต็มไปหมด พอลองไปคุยกับพวกซี 8 ก็โอดครวญว่าทำไมไม่ไปจัดการตัวใหญ่ ขอให้สงสารบ้าง เก็บสะสมมาหลายปีมี 13 ล้านบาท ชี้ให้เห็นการมีโกงกันทุกระดับ และในระบบราชการบางคนรู้ว่าคนอื่นทำอะไร ถึงตัวเองไม่ทำแต่ก็ไม่ขวาง พอได้ส่วนแบ่งมาบ้างทีละน้อย บ่อยเข้าก็กลายเป็นพวกถูกมัดรวมไปแล้ว ดังนั้น ไม่แน่ใจต่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณยอมแพ้ แต่บ้านเมืองจะฟื้นหรือไม่ องค์กรหรือคนที่พอจะดีก็เปื้อนกันไปหมด
แฉเล่ห์ รมต.-ส.ส.งาบบ้านเอื้ออาทร
นายแก้วสรรกล่าวว่า ในส่วนแนวทางแก้ไขนั้น ต้องปรับบทบาทของรัฐ เพราะขณะนี้ทุกกระทรวงมีรูหมาลอด ดังนั้น ต้องปิดรูนี้ให้ได้ โครงการต่างๆ อย่าให้ ข้าราชการจับเงินเป็นอันขาด โครงการประเภทเอื้ออาทรทั้งหลายต้องเลิกไปเลย หรือโครงการบ้านเอื้ออาทร สมัยนายวัฒนา เมืองสุข เป็น รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ใช้วิธีให้ผู้รับเหมารับจ้างจัดสรรโครงการเทิร์นคีย์ ถือเป็นรูหมาใหญ่ลอด เพราะทำให้ นายหน้าและบริษัทประเมินที่ดินกินกัน วิ่งพล่านทั่วประเทศ ต่อมาไม่ทันใจ จึงกำหนดให้บริษัททั้งหลายแบ่งโควตากัน โดยมีอดีต ส.ส.เป็นผู้เชื่อมไปหารัฐมนตรี ใครอยากได้ต้องไปติดต่อที่สภาฯ บริษัททั้งหลายต่างไปหาที่ดินที่ถูกสุด ต่ำกว่า 5 แสนบาทเท่าไหร่ก็คือกำไร ที่ดินโครงการจึงเปลี่ยนจากการประเมินสูงที่ย่านรังสิตคลอง 1-2 ไปที่ที่ดินรังสิตคลอง 9 แต่รัฐลงทุน 4.2 แสนบาทเท่าเดิม สุดท้ายรัฐเจ๊งไป 7 หมื่นล้าน แสบยิ่งกว่าโครงการซีทีเอ็กซ์ คนในการเคหะแห่งชาติเป็นรัฐนายหน้าเสียเอง ตั้งกองหาที่ดินพอกราคา กระจายกันทั้งข้างบนข้างล่าง ขณะนี้มีพยานบอกว่ารัฐมนตรีเอายูนิตละ 1 หมื่น เซ็นสัญญาไปแล้ว 3 แสนยูนิต คิดดูเท่าไหร่ โดยออกเป็นเช็ค 4 ใบ กำลังตรวจสอบดูอยู่ว่าไปอยู่ไหนบ้าง ไปอยู่กับเมียน้อยก็มี โดยผ่าน ส.ส.ใหญ่ภาคเหนือที่เป็นนายหน้า
ลั่นรออีกเดี๋ยวจะได้รู้พิษสง คตส.
นายแก้วสรรกล่าวว่า ส่วนกรณีที่ถามกันมากว่าคตส.จะเอาผิดใครได้แค่ไหน แม้เป็นองค์การพิเศษแล้วนั้น เดี๋ยวก็รู้ การทำงานของ คตส.ที่ผ่านพบว่ารีฟอร์มโดยให้ คตส.เป็นอัยการพิเศษ เป็นหัวหน้าพนักสอบสวน และที่มีตำรวจอยู่ในมือ เหมือนที่สหรัฐอเมริกา รัฐชิคาโกมีอัยการพิเศษตรวจสอบ ไม่ใช่นั่งเป็นอัยการรอสำนวนการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบนี้มีหวัง ถ้าฝ่ายทำผิดปล่อยหลักฐานไว้ก็ต้องเจอกันหน่อย
?อภิสิทธิ์? จี้ตรวจสอบเงินนักการเมือง
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า การทุจริต ได้พัฒนาและเปลี่ยนรูปแบบอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทางหมาลอดที่เป็นรูปเหลี่ยมพัฒนาเป็นทางหมาลอดที่เป็นรูกลมก็ได้ วิธีแก้ไขคือ 1. รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยและติดตามการตรวจสอบการทุจริต เพื่อที่จะนำงานวิจัยมาป้องกันการทุจริต 2. ต้องปฏิรูปการเมืองควบคู่กับการ ปฏิรูประบบราชการ โดยเฉพาะการปฏิรูประบบราชการต้องให้รู้ว่าภาระหน้าที่ของรัฐคืออะไร นอกจากนี้ ภาคธุรกิจต้องช่วยกัน บริษัทไหนทุจริตห้ามค้าขายด้วย อีกทั้งต้องหาวิธีตรวจสอบการไหลเวียนเงินของนักการเมืองและพรรคการเมืองให้ได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5-6 ปีสถานการณ์ทุจริตเลวร้ายมาก และค่านิยมถูกบิดเบือนมากเช่น คดีซุกหุ้นเมื่อปี 2544 ลองไปอ่านคำวินิจฉัยของตุลาการแต่ละคนที่บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ผิด จะรู้ว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่เกิดจากกระแสสังคมถูกปลุกปั?นให้เห็นว่าทำผิดกฎหมายก็รับได้ โดยยึดตัวบุคคล และเห็นว่าเขาจะมาทำประโยชน์ให้ เพราะสัญญาว่าจะทำหลายเรื่องให้กับประชาชน จึงต้องทำให้ไม่ผิด ทำให้มีการคอรัปชันมาตลอด 5-6 ปี และก็มาจบลงที่เป็นการซุกหุ้นภาค 2
?อุดม? ปฏิเสธถูกโทรศัพท์ข่มขู่
ด้านนายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการ คตส. ระบุว่านายอุดมเคยเปรยในที่ประชุม คตส.ว่ามีโทรศัพท์ลึกลับโทร.มาก่อกวนว่า คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะไม่เคยถูกใครโทรศัพท์มาข่มขู่ มีแต่เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2549 มีคนในทีมงานโทรศัพท์มาแจ้งเตือนมาว่า หากไม่จำเป็นไม่ควรออกมานอกพื้นที่ในคืนวันนั้น ยืนยันว่าไม่มีใครโทรศัพท์มาขู่อะไร และเท่าที่คุยกันในกรรมการ คตส. ก็ไม่มีใครหนักใจ เพราะเราต้องทำงานเต็มหน้าที่ ไม่กลัวอันตรายจะเกิดขึ้นกับตัวเอง หากกลัวก็กลัวว่าคนที่ไม่รู้ เรื่องจะได้รับอันตรายมากกว่า ส่วนเรื่องการตรวจสอบโครงการต่างๆของ คตส. ก็ยังตรวจสอบตามปกติ แม้มีเหตุวางระเบิดหลายจุดใน กทม.เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องหวาดระแวง และไม่คิดว่าจะมีใครมาปองร้าย
คตส.รอหน่วยงานอื่นเข้ากล่าวโทษ
ขณะที่นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. เปิดเผยว่า วันที่ 8 ม.ค.นี้ อาจมีการหารือเรื่องการรักษาความปลอดภัยภายใน คตส. และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ขึ้นอยู่กับที่ประชุมว่าจะนำเรื่องนี้เข้าหารือหรือไม่ ส่วนเรื่องการทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มาร้องทุกข์ กล่าวโทษกรณีโครงการท่อร้อยสายไฟฟ้า โครงการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ และกรณีการซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก เพื่อให้ คตส.ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนความผิดนั้น นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. และคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา กรรมการ คตส. จะเป็นผู้รายงานต่อที่ประชุมว่าได้ทำหนังสือไปยังหน่วยงานต่างๆหรือยัง และได้รับการตอบรับกลับมาอย่าง
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์