เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองตรังสามารถช่วยเหลือลูกค้าร้านเซเว่นฯ หลังถูกหนุ่มสกลนครจี้เป็นตัวประกัน ต่อรองให้ ตร.พากลับบ้านเกิด แต่ถูกชาร์จจับกุมระหว่างเดินทางถึงพังงา โดยผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว-พยายามฆ่า มีโทษจำคุกรวมกันไม่เกิน 10 ปี
จากกรณีที่ได้มีคนร้ายเป็นชายชาวสกลนครก่อเหตุใช้มีดบุกจี้นางสาวนพมาศ หรือแมว จิราวุธ อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมืองตรัง ซึ่งเป็นลูกค้าที่เข้ามาซื้อบัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือภายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาสี่แยกธรรมรินทร์ ถนนพระราม 6 ในเขตเทศบาลนครตรัง แล้วต่อรองให้ ด.ต.ชาญชัย สุภาผล ผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม สภ.อ.เมืองตรัง ขับรถพาหลบหนีไปตามเส้นทางเข้าสู่จังหวัดกระบี่ เหตุเกิดเมื่อเวลา 02.40 น. วันนี้ (21 เม.ย.)
ความคืบหน้าล่าสุด ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้แล้วพร้อมช่วยเหลือตัวประกันไว้ได้อย่างปลอดภัย โดยระหว่างทาง ด.ต.ชาญชัย และนางสาวนพมาศ ก็ได้พยายามพูดคุยกับคนร้าย จนกระทั่งเมื่อถึงปั้มน้ำมันเชลส์ บริเวณสามแยกทับปุด อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา ด.ต.ชาญชัยและตัวประกัน ได้ขอตัวแยกกันไปเข้าห้องน้ำ จึงเป็นจังหวะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขับรถตามมาสามารถเข้ามาชาร์จจับตัวคนร้ายได้สำเร็จ
จากการสอบสวนทราบชื่อคือ นายฤทธิเดช หรือแฮ้ รัตนวงค์ อายุ 42 ปี อยู่บ้าน เลขที่ 4 หมู่ที่ 7 ตำบลหนองหลวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยให้การว่าตนเองนั้นมีอาชีพเป็นคนงานก่อสร้าง ซึ่งได้เดินทางมายังจังหวัดตรัง กับภรรยาและเพื่อนอีก 6 คน เพื่อที่จะเข้ามาทำงานที่แคมป์คนงานก่อสร้างภายในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งเมื่อ 2 วันที่แล้ว ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่าตั้งอยู่พื้นที่ใด
จนกระทั่ง เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา นายฤทธิเดชได้ตั้งวงดื่มเหล้ากับเพื่อนคนงานด้วยกันจนเมาอย่างหนัก แล้วเกิดมีปากเสียงกันขึ้นในเรื่องที่กลัวว่าภรรยาจะปันใจจากตน แล้วไปอยู่กับเพื่อน และคิดว่าเพื่อนจะตามมายิงปิดปาก จึงได้วิ่งหลบหนีออกมาจากแคมป์คนงานโดยไม่รู้ว่ามาถึงที่เกิดเหตุหน้าร้านเซเว่นได้อย่างไร
ก่อนเกิดเหตุในเวลาประมาณ 01.00 น. ขณะที่นายฤทธิเดชยืนอยู่บริเวณหน้าร้านเซเว่น ได้มีกลุ่มวัยรุ่นชายประมาณ 4-5 คน เดินเข้ามา จึงคิดว่าจะมาทำร้าย จึงวิ่งหลบหนีเข้าไปอยู่ภายในร้านเซเว่น และเมื่อหันไปเห็นมีดและเห็นนางสาวนพมาศเข้ามาซื้อของ โดยในขณะนั้นไม่มีลูกค้าคนอื่นจึงวิ่งเข้าไปจับไว้เป็นตัวประกัน โดยบอกว่า “พี่ขอโทษน่ะน้อง พี่ต้องการแค่พรุ่งนี้เช้า แล้วพี่จะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ”
อย่างไรก็ตาม นายฤทธิเดชคิดว่าเมื่อก่อปัญหาขึ้นแล้วก็เลยต้องการทำทุกอย่าง เพื่อให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัย และไม่คิดว่าจะบานปลายมาถึงขนาดนี้ โดยภรรยาคนที่มาทำงานด้วยนั้น เป็นภรรยาคนที่ 2 ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็เคยมีภรรยาและมีลูกด้วยกัน เป็นลูกสาวอายุ 7 ปี อยู่ที่จังหวัดสกลนคร แต่ตนไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูอะไร แต่ยอมรับว่าคิดถึงลูกสาวมาก
ทั้งนี้ จากการตรวจค้นภายในกระเป๋าสตางค์ของนายฤทธิเดช พบเพียงบัตรประชาชน บัตรประกันสังคม และนามบัตรของทนายความผู้หนึ่งที่คนร้ายอ้างว่าได้เก็บมาจากที่คนทำตกเอาไว้ เผื่อว่าจะมีโอกาสได้ปรึกษาหารือหากมีคดีเกิดขึ้นกับตนเอง
ด้านนางสาวนพมาศ หรือน้องแมว ผู้เสียหาย เล่าว่า ช่วงที่ตนกำลังจะซื้อของภายในร้านเซเว่น ก็สังเกตเห็นคนร้ายรายนี้แล้วยืนถือหลอดไฟนีออน รวมทั้งยังถือมีดอยู่ 1 เล่มด้วย แต่เข้าใจว่าคงเป็นพนักงานมาส่งของ แล้วทางร้านคงขอให้ช่วยเปลี่ยนหลอดไฟให้ ทั้งนี้ จังหวะที่ตนนำเงินทอนใส่กระเป๋า คนร้ายก็เอามีดมาจี้ที่ลำตัว แล้วล็อกคอด้วยแขน พร้อมกับพูดว่า “พี่ขอโทษนะ แล้วพี่จะปล่อยพรุ่งนี้เช้า”
ด้วยความตกใจ ตนจึงต้องยอมทำตามคำสั่งทุกอย่าง ตลอดช่วงที่ถูกจี้อยู่นั้นตนเองก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร เพราะคนร้ายก็พูดจารู้เรื่อง ถึงแม้บางครั้งจะพูดจาวกวนอยู่คนเดียวบ้าง แต่ยังเชื่อว่าคนร้ายคงไม่ใช้มีดแทงจริงๆ ตามคำขู่ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กำลังถูกจี้อยู่นั้น ก็คิดว่าจะต่อสู้และหลบหนีออกไปนอกร้านเซเว่น แต่เนื่องจากระยะทางค่อนข้างไกล เกรงว่ากว่าจะถึงตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนร้ายก็อาจจะใช้มีดแทงถึงแก่อันตรายได้จึงตัดสินใจยอมทำตามแต่โดยดี และเชื่อว่าถึงที่สุดแล้วก็จะปลอดภัย
ตลอดช่วงเกิดเหตุ ตนได้พยายามนึกถึงแม่ตลอดจนเพื่อนๆ ที่สนิทเพื่อเป็นกำลังใจ และคุ้มครองให้เหตุการณ์ร้ายยุติลงโดยเร็ว โดยเฉพาะช่วงที่คนร้ายให้ ด.ต.ชาญชัย ขับรถพาหลบหนี ตนเริ่มรู้สึกกลัวน้อยลงเพราะมีรถเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามมาหลายคัน และใจจริงแล้วตนไม่อยากจะเอาเรื่องคนร้ายรายนี้ เพราะเขาเองพูดจาดีและยินยอมทำตามที่ตนร้องขอเหมือนกัน เช่น ช่วงที่คนร้ายเอามีดจี้ที่คอ เมื่อตนรู้สึกเจ็บและร้องบอก คนร้ายก็จะเอามีดออก หรือช่วงที่คนร้ายล็อกคอแน่นจนรู้สึกหายใจไม่ออก เมื่อร้องบอกเขาก็จะผ่อนคลายมือออก
อย่างไรก็ตา ในขณะที่นั่งไปบนรถ ก็ได้พยายามสังเกต ด.ต.ชาญชัย ตลอดเวลา เพราะเข้าใจว่าจะต้องดูแลตนเองได้ และพยายามพูดเพื่อให้คนร้ายสบายใจ และคลายความกังวล โดยคนร้ายพูดคุยว่าต้องการให้พาไปส่งที่กรุงเทพฯ เท่านั้น จากนั้นเขาจะให้ตนเองกลับบ้าน ส่วนคนร้ายก็จะเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดสกลนครต่อไป
พ.ต.ท.นิรัตน์ ปานดำ รอง ผกก.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน (สส.) สภ.อ.เมืองตรัง กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องหารายนี้ จะถูกดำเนินคดีในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว และข้อหาพยายามฆ่า ซึ่งจะมีโทษจำคุกรวมกันไม่เกิน 10 ปี
ข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์