กระบี่, ชี้ปี 50 ยอดซื้อรถที่กระบี่ลดแน่-เกษตรกรไม่มั่นใจราคาผลผลิต ( ข่าวกระบี่ )

นักธุรกิจจังหวัดกระบี่ ชี้ปี 50 ยอดซื้อ-ขายรถ ทั้งรถยนต์-จักรยานยนต์ ชะลอตัวหลังปี 49 ทำยอดสูงสุด เนื่องจากราคายางพาราพุ่งสูงกิโลกรัมละเกือบ 100 บาท สถิติจดทะเบียนรถทะลุกว่า 6 พันคัน เชื่อหากเกษตรกรมั่นใจเสถียรภาพราคายางพารา จะกลับมาซื้อรถใหม่อีกครั้ง
      
นายธรรมศักดิ์ ภูพันธ์วิวัฒน์ เจ้าของบริษัท วังกระบี่ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ในจังหวัดกระบี่ กล่าวถึงอัตราการเจริญเติบโตของธุรกิจรถยนต์ และจักรยายนต์ ในจังหวัดกระบี่ช่วงปี 2549 ที่ผ่านมาว่า มีอัตราการเจริญเติบโตสูง และยอดจำหน่ายรถยนต์ และจักรยานยนต์สูงที่สุด
      
เมื่อคิดตามจำนวนประชากรในจังหวัด ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3,700,000 คน เทียบกับจังหวัดใหญ่ ๆ อย่างจังหวัดพิษณุโลก ถือว่า อยู่ในอัตราที่สูงมาก โดยยอดจดทะเบียนรถในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 6,700 คัน ทั้งนี้ยอดจำหน่ายดังกล่าวสูงกว่าจังหวัดตรังอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาจังหวัดตรัง จะมียอดจำหน่ายรถยนต์ และรถจักรยานยนต์สูงกว่าจังหวัดกระบี่มาก

นายธรรมศักดิ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามคาดว่า ในปีนี้ 2550 การซื้อขายรถยนต์ และรจักรยานยนต์คงจะชะลอตัวลงบ้าง เพราะเมื่อปีที่ผ่านมาโดยภาพรวมเป็นที่ทราบกันดีว่า อายุของรถที่ลูกค้าซื้อมาใช้งาน จะอยู่ที่ประมาณ 4-5 ปี และเมื่อปีที่ผ่านมา ก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนรถใหม่
      
ทั้งนี้คาดว่า คงอีกประมาณสักระยะหนึ่ง ลูกค้าเหล่านี้ก็จะกลับมาเปลี่ยนรถใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้การซื้อขายรถยนต์ และรถจักรยายนต์คึกคักอีกครั้ง แต่ช่วงปี พ.ศ.2550 ยอดการซื้อขายรถเกิดการชะลอตัวอย่างแน่นอน ประกอบกับภาคเศรษฐกิจในช่วงนี้ เริ่มมีการชะลอตัว
      
แต่ก็นับว่าจังหวัดกระบี่ยังโชคดีกว่าหลาย ๆ จังหวัดในเมืองไทย โดยเฉพาะทางภาคใต้ เนื่องจาก มีธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ที่สำคัญธุรกิจการท่องเที่ยวก็กำลังเจริญเติบโต
      
สำหรับยอดการซื้อขายรถในช่วงต้นปี 2549 สาเหตุที่ทำให้ยอดการขายรถทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์มียอดการจำหน่ายสูงสุดในรอบหลายปี เนื่องจากเศรษฐกิจจากภาคเกษตรกรรมมีราคาค่อนข้างดี โดยเฉพาะยางพาราที่ราคาถีบตัวพุงสูงขึ้นถึงกิโลกรัมละประมาณ 100 บาท ทำให้เกษตรกรมีเงินมากพอ ที่จะมาซื้อรถใหม่ได้
      
แต่ในช่วงปลายปี 2549 ตลอดจนถึงต้นปี 2550 ราคายางพาราได้ทรุดตัวลง เหลือเพียงกิโลกรัมละประมาณ 60-70 บาท ทำให้เกษตรกรไม่มั่นใจในเสถียรภาพราคายาง จึงชะลอในการซื้อรถ เพื่อออมเงินไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น และดูท่าทีว่า แนวโน้มจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่หากว่า เมื่อราคายางมีเสถียรภาพ ตนเชื่อว่าเกษตรกรคงจะหันมาซื้อรถใหม่กันอีกครั้ง

ข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์