ปลายปีนี้เรือท่องเที่ยวสำราญขนาดใหญ่จากยุโรป จองเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตแล้วกว่า 20 ลำ เพิ่มจากปีที่แล้ว 10% เหตุมั่นใจในความพร้อมและความสวยงามของอันดามัน ที่ฟื้นตัวจากเหตุการณ์สึนามิ ขณะที่ สตาร์ครูซ ยังเหนียวแน่น ส่งเรือสำราญขนาดใหญ่ 2 ลำ เข้าภูเก็ตทุกสัปดาห์
นายอาซิ่น อร่ามเมธาพงศา ผู้จัดการท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต บริษัท เจ้าพระยาท่าเรือสากล จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มเรือท่องเที่ยวข้ามทวีปเข้ามาใช้บริการท่าเรือน้ำลึกในช่วงไฮซีซันปีนี้ ว่า ฤดูกาลท่องเที่ยวของภูเก็ตที่กำลังจะมาถึงในปีนี้ ปรากฏว่า มีเรือท่องเที่ยวสำราญขนาดใหญ่มีโปรแกรม ที่จะเข้ามาจอดเทียบท่าที่บริเวณท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตเพิ่มสูงขึ้น จากฤดูกาลท่องเที่ยวเมื่อปีที่แล้วประมาณ 10% โดยขณะนี้มีเรือท่องเที่ยวสำราญข้ามทวีป จองที่จะเข้าจอดเทียบท่าแล้วประมาณ 20 ลำ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรือที่หนีหนาวมาจากยุโรป
?เรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่เข้าภูเก็ตเพิ่มมากขึ้น ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปีนี้ เนื่องจากขณะนี้ภูเก็ตได้ฟื้นตัวจากเหตุการณ์สึนามิจนไม่หลงเหลือความเสียหายให้เห็น ประกอบกับภูเก็ตมีความพร้อมในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทำให้เรือท่องเที่ยวข้ามทวีป มั่นใจในการจัดโปรแกรมเดินทางมาแวะที่ภูเก็ต? นายอาซิ่น กล่าวและว่า
เรือดังกล่าวจะเริ่มเข้ามาภูเก็ต ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนเมษายนของทุกปี โดยจะแวะที่ภูเก็ตในช่วงเช้าเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมากับเรือได้แวะท่องเที่ยวที่ภูเก็ต 1 วัน หลังจากนั้นก็จะออกจากท่าในช่วงเย็น เพื่อเดินทางต่อไปยังเส้นทางที่กำหนด เช่น แวะที่มาเลเซีย ลังกาวี หรือทพอร์ตคลัง ก่อนที่จะเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป
ส่วนเรือท่องเที่ยวสำราญที่เข้าจอดเทียบท่าประจำตลอดทั้งปี มีอยู่ 2 ลำ คือ เรือซูเปอร์สตาร์เวอร์โก และเรือซูเปอร์สตาร์เจมิไน จากประเทศสิงคโปร์ โดยเรือซูเปอร์สตาร์เวอร์โกจะเข้ามาจอดเทียบท่าทุกเช้าวันอังคารและออกในช่วงเย็น เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ท่องเที่ยวในภูเก็ต 1 วัน โดยในช่วงไฮซีซัน จะมีนักท่องเที่ยวมากับเรือดังกล่าว 2,000-2,200 คน
ส่วนเรือซูเปอร์สตาร์เจมิไน จะเข้ามาภูเก็ตทุกเช้าวันพุธ และออกจากภูเก็ตเช้าวันพฤหัสบดีให้นักท่องเที่ยวเที่ยวในภูเก็ตและค้างบนเรือ 1 คืน มีผู้โดยสารมาเที่ยวละประมาณ 400-500 คน
นายอาซิ่น ยังกล่าวถึงเรือบรรทุกสินค้าที่ใช้บริการที่ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ว่า ยังใช้บริการเหมือนเดิม โดยจะบรรทุกยางพาราแผ่นรมควันและยางแท่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในแต่ละปีจะมียางพาราผ่านทางท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต 1-1.2 แสนตัน
ในส่วนของผลการดำเนินงาน ปรากฏว่า ในปีนี้ขยายตัวกว่าปีที่แล้วประมาณ 5% เนื่องจากในปี 2548 บางส่วนราคายางพาราได้ขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก 90-100 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคายางที่ขายไปยังสหรัฐอเมริกามีต้นทุนที่สูง สู้ยางจากประเทศคู่แข่งอย่างอินโดนีเซียที่ต้นทุนต่ำไม่ได้ จึงมีการส่งออกยางพาราน้อย อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ราคายางได้ปรับตัวลดลงและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น การส่งออกยางไปต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นด้วย
นายอาซิ่น ยังกล่าวถึงการรักษาความปลอดภัยที่บริเวณท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ว่า การักษาความปลอดภัยที่บริเวณท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตนั้น ดำเนินการตามมาตรฐานของ IMO ซึ่งเป็นองค์การที่ดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยการขนส่งทางน้ำของสหประชาชาติ ที่ผ่านมาไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นที่ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต
ข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์