ภูเก็ต, รพ.กรุงเทพภูเก็ต รวมกับราดิฯติวแพทย์รักษาหลอดเลือดหัวใจตีบ ( ข่าวภูเก็ต )

โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ร่วมบริษัท ราดิฯ เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในเอเชียแปซิฟิก กว่า 60 คน ประชุมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการตรวจวัดความดันในหลอดเลือดหัวใจ ด้วยนาโนเทคโนโลยีสมัยใหม่
      
วันนี้ (5 เม.ย.) โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ร่วมกับ บริษัท ราดิ เมดิดอล ซิสเต็ม จำกัด จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเทคนิคตรวจวัดความดันในหลอดเลือดหัวใจ (The 1 Asia Pacifec FFR Workshop) ระหว่างวันที่ 5-6 เมษายน 2550 โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจจากเอเชียแปซิฟิก กว่า 65 คน ประกอบด้วย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย และไทย เข้าร่วม โดยมี นายสมิทธิ์ ปาละวัฒน์วิไชย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานเปิดการสัมมนา ณ ห้องประชุมคิง คาร์ล กุสตาฟ โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต
      
นายแพทย์ ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต กล่าวว่า การเชิญแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจในครั้งนี้ ถือว่าเป็นประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งแรกที่ภูเก็ต ซึ่งการประชุมสัมมนาระดับนานาชาติในหัวข้อนี้จะเกิดขึ้นประเทศแถบยุโรป เพราะการสัมมนาในครั้งนี้ จะเน้นเรื่องการวัดความดันหลอดเลือดหัวใจ ที่เน้นทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยมีการถ่ายทอดสดการสวนหัวใจผู้ป่วยจริง จากห้องตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือดไปยังห้องประชุม เพื่อให้แพทย์ได้เห็นของจริงๆ ที่กำลังทำการรักษาหลอดเลือดหัวใจ
      
การรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบในครั้งนี้ เป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยแพทย์ในการวัดความดันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีนาโนสมัยที่ทางบริษัท ราดิ เมดิคอล ซิสเต็ม เป็นผู้ผลิต และได้รับการรับรองจากสถาบันอาหารและยาในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาหัวหลอดเลือดหัวใจตีบตันมาก
      
นายแพทย์ ก้องเกียรติ กล่าวว่า ศูนย์โรคหัวใจของโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต เปิดให้บริการมาเป็นเวลา 3 ปี ในปีแรกมีคนป่วยที่เป็นโรคหัวใจฉับพลัน มารับการรักษา 50 ราย แต่หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลได้ทำการรักษาในส่วนของผู้ป่วย ที่เริ่มเป็นในปีถัดมาอีก 120 ราย ซึ่งมีทั้งประชาชนชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาภูเก็ต
      
สำหรับแนวโน้มของผู้ป่วยโรคหัวใจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มากจนเกินไป จนทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ไม่ออกกำลังกาย รวมทั้งการสูบบุหรี่ โดยจะพบผู้ป่วยอยู่ในช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป และโรคหัวใจเป็นโรคที่ให้มีผู้เสียชีวิตติด 1 ใน 3 ตลอดเวลา

ข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์